วันที่(8 ส.ค.68) ชาวบ้าน เด็ก ผู้สูงอายุที่หนีภัยการสู้รบจากแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มาอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิตจังหวัดบุรีรัมย์ ต่างทยอยขนเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ขึ้นรถยนต์ เพื่อเดินทางกลับบ้านที่อำเภอบ้านกรวด หลังทราบว่าตัวแทนรัฐบาลทั้งสองประเทศมีการเจรจาหยุดยิง ซึ่งทุกคนต่างก็ดีใจมีสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะจะได้กลับไปใช้ชีวิตที่บ้านและทำมาหากินตามปกติเหมือนเดิม หลังจากต้องทิ้งบ้านสัตว์เลี้ยงวัว ควาย สุนัข เป็ด ไก่ ที่เลี้ยงไว้มาอยู่ที่ศูนย์พักพิงนานกว่า 2 สัปดาห์ จนบางคนเกิดความเครียด ซึ่งวันนี้เป็นวันแรกที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตที่บ้าน แต่หลายคนก็ยอมรับว่ายังกังวลเพราะแม้จะมีการเจรจาหยุดยิงแล้ว แต่ก็ไม่มั่นใจกัมพูชาว่าจะปฏิบัติตามข้อตกลง แต่ก็ตัดสินใจกลับไปบ้านก่อน เพื่อไปทำมาหากินและหาเงินชำระหนี้ หากมีการสู้รบขึ้นอีกก็พร้อมจะอพยพกลับมาเพื่อความปลอดภัย
น.ส.แอ๋ว กิรัมย์ อายุ 42 ปี ชาวบ้านอำเภอบ้านกรวด หนึ่งในผู้อพยพ บอกว่า ตนพร้อมสามีและลูกได้อพยพมาอยู่ที่ศูนย์พักพิงแห่งนี้กว่า 2 สัปดาห์แล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่เขาก็ดูแลอย่างดีทั้งเรื่องที่หลับที่นอนอาหารการกิน แต่ก็ไม่เหมือนอยู่บ้านตัวเอง ยอมรับว่ารู้สึกเครียดเพราะทิ้งบ้านมาหลายวันไม่ได้ทำมาหากินเลย ซึ่งอาชีพหลักคือกรีดยางพาราก็มีรายได้เฉลี่ยสัปดาห์ละ 5,000-6,000 บาท แต่หลังมีการสู้รบจนถึงวันนี้รายได้เป็นศูนย์ แต่มีภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบก็มีเจ้าหนี้และไฟแนนซ์รถโทรทวงตลอด วันนี้จึงตัดสินใจพาครอบครัวเดินทางกลับเพื่อไปกรีดยางหาเงินใช้หนี้ หลังจากมีการเจรจาหยุดยิงก็ดีใจ แต่ก็ยังไม่เชื่อใจฝั่งเขมรว่าจะทำตามข้อตกลงจริงหรือไม่ และแม้ทางราชการจะยังไม่มีประกาศให้กลับ แต่ด้วยภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวก็ขอกลับไปทำมาหากินก่อน หากมีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ค่อยตัดสินใจอีกที หากเป็นไปได้ก็อยากให้รัฐบาลชดเชยเยียวยาการขาดรายได้ช่วงที่ไม่ได้ทำมาหากินด้วย
ด้านนายวินัย ตะเกิงผล ชาวบ้านอำเภอบ้านกรวดอีกราย ที่ตัดสินใจพาครอบครัวเดินทางกลับบ้าน ก็บอกว่าดีใจที่มีการเจรจาหยุดยิงชาวบ้านจะได้กลับไปทำมาหากิน เพราะส่วนมากมีอาชีพปลูกยางต้องกรีดยางขาย และมีภาระหนี้สิน จึงไม่อยากให้มีการสู้รบกันเพราะประชาชนเดือดร้อนทั้งสองฝ่าย ก็หวังว่าการเจรจาครั้งนี้จะไม่มีการสู้รบกันเกิดขึ้นอีก
Advertisement