เวลา 09.00 น. วันที่ 27 ก.ค. 68 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการโทรศัพท์คุยกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงเรื่องการต่อรองเจรจาภาษีกับการหยุดยิงกับประเทศกัมพูชา ว่า เมื่อวานนี้เวลาประมาณ 20.00 น.-21.00 น. ได้รับการประสานมาว่าประธานาธิบดีสหรัฐอยากจะพูดคุยด้วย ซึ่งเราได้ตอบรับไป และได้หาเวลาที่เหมาะสม ซึ่งตนได้ไปประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล ตึกบัญชาการ ได้เชิญรัฐมนตรีต่างประเทศ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้คุยกันและคาดการณ์ว่าคงมีการคุยเรื่องประเด็นกัมพูชา และได้สอบถามโดยเฉพาะทางกองทัพบก เพราะขณะนี้เป็นการรบที่ผสมเหล่าแล้ว ได้ทราบข้อมูลที่ชัดเจนว่าเราเป็นอย่างไร เป็นการหารือบนพื้นฐานที่เราได้ทำงานร่วมกันทุกส่วน
สิ่งที่ได้คุยกันทั้งหมดไม่ใช่แค่เรื่องสหรัฐอเมริกา ก่อนหน้านี้ทางทีมที่ได้โทรหาตนและอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ทั้ง 3 ประเทศโดยรวม โดยเฉพาะเมื่อวานได้สรุปคล้าย ๆ กันคืออยากเห็นสันติภาพเกิดขึ้น อยากเห็นการหยุดยิง เพราะเป็นห่วงพลเรือนไทยและการรบจะทำให้เกิดการสูญเสีย ซึ่งเขาไม่อยากเห็น
โดยจากการคุยเบื้องต้นที่ผ่านมา เราก็เริ่มต้นเล่าให้ฟังว่าที่ผ่านมาเรายึดในหลักสันติภาพและการเจรจาเพื่อขอให้แยกกันออกตลอด เพราะฉะนั้นเราเป็นฝ่ายยึดหลักการ ตามที่ประธานาธิบดีบอกว่าอยากเห็น การหยุดยิงและการเกิดสันติภาพในพื้นที่ ยืนยันว่าตรงนี้เราทำมาตลอด สิ่งที่สำคัญคือเรามีการเล่าให้เห็นว่ามีการยิงเข้าสู่พลเรือนโดยไร้เป้าหมายทางทหาร เราตอบโต้ในส่วนที่เป็นเป้าหมายของทหาร ที่เป็นปืนและวิถีจรวดเพราะเราคิดว่าตรงนั้นคือตัวปัญหาที่ทำลายมาถึงประชาชนไทย ในหมู่บ้านต่าง ๆ
และได้มีการรายงานไปว่าในขณะนี้ คนละเรือนไทยเสียชีวิตไปแล้วประมาณ 15 คน มีผู้บาดเจ็บประมาณ 50 คน ซึ่งได้มีการอพยพพลเรือนส่วนหนึ่งต่าง ๆ แล้วประมาณ 130,000 คน ซึ่งเราในฐานะผู้พิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง เราก็ได้สั่งผู้ว่าราชการจังหวัดนายอำเภอทุกจุด และเห็นได้ว่ามีสถานที่ดูแลไม่เพียงพอ จึงได้ประสานกับกรมอุทยาน แล้วให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเข้าดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง
นายภูมิธรรม ระบุว่า กรณีประธานาธิบดีทรัมป์ เขาได้พูดในช่วงท้ายเหมือนกันว่า ความรุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่เขาประสงค์จะเห็น ซึ่งเราก็บอกว่าเหมือนกัน แล้วตรงนี้ทั้งหมดเขารู้สึกว่าถ้าหาก ไม่สามารถหาจุดหยุดยิงได้เขาก็ไม่พร้อมเจรจาทางการค้ากับทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งเราตอบไปว่าตรงนี้ไม่มีปัญหาเพราะเป็นหลักการอยู่แล้ว แต่เงื่อนไขคือต้องให้เขมรสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ที่เราจะเจรจาว่ายอมหรือไม่ยอม ตรงนี้เรายึดถือประชาชนของเราเป็นหลัก ชีวิตทรัพย์สินของประชาชนเป็นหลัก ได้คุยกันดีและเขาได้ขอบคุณว่า สิ่งที่เราได้เสนอมาเป็นเรื่องที่ดี และหลังจากนี้เขาจะโทรกลับไปคุยกับ ฮุนมาเนต อีกที
" เงื่อนไขเราตอนนี้คือ เราไม่ได้ต้องการให้ประเทศที่ 3 เข้ามาแทรกแซง แต่ขอบคุณที่เขาห่วงใย เราเสนอว่าต้องไบแลทเทอรัล(ทวิภาคี) ระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของเขาและของเรา มาคุยให้จบว่ามาตรการแก้ไขอย่างไร ในการหยุดยิงและถอยกำลังทหารออก และถอยยุทโธปกรณ์วิธีไกล ที่เข้ามาทำลายประเทศให้ออกไป " นายภูมิธรรมกล่าว
เมื่อถามว่าจะเริ่มคุยกับทางกัมพูชาเมื่อไหร่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า เมื่อวานเราได้ให้รัฐมนตรีต่างประเทศคุยต่อก็เข้าใจว่า วันนี้ถ้านัดได้เราก็จะคุยเลยน่าจะช่วงเวลาประมาณเที่ยง แต่เช้าวันนี้รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้ไปดูที่เกิดเหตุ และที่ตนเลือกมาจังหวัดจันทบุรีตราด เพราะเป็นการเปิดยุทธการใหม่และเพิ่งเริ่มเกิดใหม่ มีการยิงกันใน 4-5 จังหวัดที่ผ่านมาเราได้มีการส่งรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่
ซึ่งรัฐมนตรีต่างประเทศวันนี้ก็จะคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ถ้าคุยจบทันก็ไปด้วยกันกับเรา แต่ถ้าจบไม่ทันเราก็จะไปก่อน และขอบอกประชาชนว่า อยากให้ใครกังวลเพราะรู้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก เป็นเรื่องที่ได้รับผลกระทบกับพี่น้องประชาชนตามชายแดน ซึ่งเกิดขึ้นจากการกระทำของกัมพูชา และเราได้ประณามไปแล้วว่าเป็นอาชญากร ระหว่างประเทศ ที่ทำร้ายพลเรือนซึ่งผิดข้อกฎหมายระหว่างประเทศทั้งหมด
ทั้งนี้นายภูมิธรรม กล่าวว่า เห็นในโลกออนไลน์ โพสต์สู้กันดุเดือด แต่มีเรื่องที่ต้องขออยู่คือให้ระมัดระวังในการเผยแพร่ภาพ ทางยุทธการของกองทัพ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์ต่อเรา แต่กลายเป็นเอื้อประโยชน์ให้กับทหารกัมพูชา เพราะถ้าเขายิ่งรู้หรือเห็นจุดทั้งหมด ก็จะมุ่งทำลายเป้าทหารของเรามากยิ่งขึ้น
และต้องยอมรับว่าในเรื่องของประชาชนเป็นเรื่องโกลาหล ซึ่งเราพยายามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ ซึ่งทั้งหมดเป็นการหารือเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่าย และเราได้ให้อำนาจกับทหารแนวหน้า ที่กำลังปะทะอยู่ว่าเขาสามารถดำเนินการได้ อย่างการประกาศสภาวะฉุกเฉินที่ จ.ตราดจ.จันทบุรี ทางผู้บัญชาการทหารบกก็ได้หารือมา อยากให้ทุกฝ่ายมั่นใจและเชื่อมั่นว่าเราประสานงานกับทุกฝ่าย คำหนึ่งถึงสิทธิประโยชน์ชีวิตและทรัพย์สินของทุกคน และขอขอบคุณหน่วยงานเอกชนที่ได้ให้การสนับสนุน
เมื่อถามว่าหากยังคุยกันไม่จบจะไม่มีสัญญาณการหยุดรบใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม ยืนยันว่า ทหารจะปฏิบัติหน้าที่ ประชาชนไม่ต้องห่วงจนกว่ารัฐบาลจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ว่าจะไม่เป็นภัยต่อประชาชนแล้ว และเป็นประโยชน์ต่อประเทศเพื่อนำไปสู่สันติภาพ เพราะขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศอยู่นิวยอร์ก ได้ทำหน้าที่ประสานงานคุยส่วนตัว กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จะเห็นว่ามีอยู่ประเด็นเดียวคือขอให้ยุติ คืนสันติสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากเห็น
เมื่อถามว่าเรายังมั่นใจในกัมพูชาได้หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ได้บอกประธานาธิบดีทรัมป์ไปแล้ว ว่าต้องทำให้เรามั่นใจ สิ่งที่ทำจะไม่มีการพลิก
"เพราะฉะนั้นการเจรจาทวิภาคี และการให้หยุดยิงพร้อมกับเคลื่อนย้ายกำลังพลทหารและอาวุธออกไปจากพื้นที่เดิมก็จะเป็นหลักประกันและสร้างความมั่นใจว่าอยากหยุดยิงจริง เพราะตอนนี้เราประกาศมานานแล้วเรื่องหยุดยิง เขาเพิ่งประกาศว่าเขาเพิ่งอยากหยุดยิง และมาพูดเหมือนเราเป็นฝ่ายรุกราน ขณะนี้เท่าที่เราได้ประเมินแล้วออกมาชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายรุกราน สิ่งที่เราทำคือการปกป้องอธิปไตย ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ" นายภูมิธรรมกล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่สหรัฐจะบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ในวันที่ 1 ส.ค. นั้น นายภูมิธรรม ระบุว่า เรื่องนี้ไม่มีปัญหา จากการพูดคุยเมื่อวานสหรัฐก็ได้บอกว่าไม่ต้องห่วง แต่เชื่อว่าการหยุดยิงจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และปกป้องพลเรือน จึงขอฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย
ซึ่งทางเรายืนยันว่ายึดแนวทางสันติวิธีมาโดยตลอด สิ่งที่เราทำเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ และชีวิตของพลเมืองไทย และไทยพร้อมที่จะเจรจา
ส่วนจะทันวันที่ 1 ส.ค. หรือไม่ นายภูมิธรรมระบุว่า ยังไม่สามารถพูดได้ 100% ขึ้นอยู่กับรัฐบาลกัมพูชา ต้องแสดงให้เห็นว่าต้องการหยุดยิง และต้องปรึกษากับทางกองทัพด้วย เนื่องจากขณะนี้กัมพูชาเปิดแนวรบตลอดระยะทาง 800 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องบกไปจนถึงจังหวัดตราด ถึงประกาศหยุดยิงก็ต้องมีเงื่อนไขที่พูดคุยกันในรายละเอียดว่าจะเคลื่อนกำลังพลออกอย่างไร
โดยนายภูมิธรรมยังระบุว่าแนวโน้มภาษีน่าจะเป็นบวก เพราะเราได้ยืนยันกับสหรัฐว่าไทยอยู่บนพื้นฐานที่เป็นมิตรหับทุกประเทศ การพูดคุยกันครั้งนี้ทำให้สหรัฐรับทราบข้อเท็จจริงและเข้าใจเรามากขึ้น พร้อมขอบคุณสหรัฐ มาเลเซีย และจีน ที่ยื่นมือเข้ามาด้วยความห่วงใย ช่วยให้เรื่องนี้ยุติเพื่อเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
Advertisement