พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย และ นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ประจำวันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน 2568
โดยพลเรือตรีสุรสันต์ ระบุย้ำถึงหลักการ ในการยึดถือปฏิบัติการทำงานรอบคอบ รอบด้าน ใช้สติ สร้างสันติ ซึ่งจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีการวางแผนที่ซับซ้อนมีเป้าหมายที่ลึกซึ้งและแยบยลเริ่มจากการสร้างสถานการณ์ให้มีความตึงเครียดในพื้นที่ที่ผ่านมา และขยายผลให้มีผลกระทบทางการเมือง สร้างความแตกแยกในสังคมไทยและทำให้ขาดความเชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจากความตึงเครียด โดยการจัดตั้งศบ.ทก.มีวัตถุประสงค์เพื่อการบูรณาการและขับเคลื่อนงานระยะสั้นติดตามให้ข้อเสนอแนะและสนับสนุนงานในระยะยาว ถือเป็นวาระเร่งด่วนให้กลับคืนสู่สถานะการปกติเช่นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยในระยะยาวจัดทำแผนจัดทำข้อเสนอแนะการดำเนินการเพื่อให้กระทรวงและหน่วยงานต่างๆที่รับผิดชอบในสภาวะปกติไปดำเนินการต่อไป
โดยการดำเนินการ เป็นการดำเนินการรับนโยบายของรัฐบาล ผ่านการกลั่นกองโดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ จากนั้นศบ.ทก. จะประสานสั่งการไปยังกองทัพ โดยกองกำลังป้องกันชายแดนในพื้นที่ปัจจุบันมี 3 กองกำลังในระดับพื้นที่ ในการรับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี กำลัง กองกำลังบูรพา และกองบัญชาการป้องกันแดนจันทบุรีและตราด เป็นหน่วยรับผิดชอบหลักในการออกคำสั่งดำเนินการ
นอกจากนี้พลเรือตรีสุรศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่าจากกรณีข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏในสื่อฯที่ผ่านมาโดยกล่าวหาว่าฝ่ายไทยปิดด่าน ผ่านเข้าออก ฝ่ายไทยไม่มีนโยบายในการปิดด่านแต่อย่างใด การดำเนินการที่ผ่านมาเป็นการควบคุมด่านต่างๆที่เข้มข้นขึ้น ในการผ่านเข้าออก โดยจำกัดประเภทคนและเวลาของการผ่านเข้าออกโดยคำนึงถึงพื้นฐานด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนเป็นสำคัญ
ส่วนหนังสือของกองกำลังบูรพา ที่ถูกเผยแพร่ผ่านสังคมออนไลน์ประสานขอให้มีการผ่อนผันรถขนส่งสินค้าที่ติดค้างบริเวณจุดผ่านแดนต่างๆ พลเรือตรีสุรสันต์ กล่าวว่า การประสานงาน เป็นการประสานงานภายในที่ผ่านมายังไม่มีการประสานไปยังฝ่ายกัมพูชาไปอย่างใด ตัวหนังสือที่ออกมาไม่ทราบว่าหลุดออกไปยังฝ่ายกัมพูชาได้อย่างไร เพราะการประสาน สิ่งจำเป็นของเราคือต้องทำให้ฝ่ายไทยของเราได้รับทราบข้อมูลให้มีความชัดเจนเสียก่อน ก่อนที่จะประสานไปยังฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นประเด็นสืบเนื่องจากการที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดสระแก้วเมื่อ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา และได้รับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนส่งสินค้าที่ติดค้างอยู่ตามแนวชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยมีแนวคิดที่จะผ่อนปรนให้รถขนส่งสินค้าสามารถเดินทางผ่านเข้าออกได้ แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่ายังไม่ทันได้ประสานไปยังกัมพูชา แต่ทางกัมพูชาก็ประกาศไม่ยอมให้รถขนส่งสินค้าผ่านข้ามแดนได้
นางมาระตี กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ หลังจากที่มีการยกระดับการปราบปราม ส่งผลต่อการควบคุมจุดผ่านแดน ซึ่งที่ผ่านมาทางกระทรวงการต่างประเทศได้ขับเคลื่อนความร่วมมือกับนานาชาติและองค์กรระหว่างประเทศ จึงอยากเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาร่วมมือกับฝ่ายไทยอย่างจริงจังเพื่อลดความสูญเสียทางชีวิตและทรัพย์สินเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนทั้งสองฝ่าย
พร้อมกับกล่าว เพจศบ.ทก. และจะชี้แจงทุกข้อสงสัยของประชาชนชี้แจงผ่านทางเพจศบ.ทก. อย่างรายละเอียด MOU 2543 เป็นต้น
Advertisement