(19 มิ.ย. 2568) ที่ศูนย์ราชการฯ นายภราดร ปริศนานันทกุล อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย กล่าวตอนหนึ่งระหว่างร่วมเสวนาวิชาการ ในหัวข้อ "การเมืองในโลกยุคใหม่กับการท้าทายและโอกาส" ที่จัดโดยสมาคมแห่งสถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งว่า ตนเห็นด้วยที่สังคมนี้ต้องมีองค์กรอิสระ เพราะการปกครองในระบอบประชาธิปไตย นอกจากฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ การ มีองค์กรอิสระ ก็เพื่อถ่วงดุลให้ระบอบประชาธิปไตยมีความเข้มแข็งมากขึ้น
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมีคำถามตัวโต คือองค์กรอิสระ "อิสระ" จริงหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อมั่นองค์กรอิสระชุดแรกภายใต้รัฐธรรมนูญ 40 ซึ่งใช้กับการเลือกตั้งครั้งแรกปี 2544 ตอนนั้นเลือกตั้งแล้วกว่าจะรับรองครบใช้เวลานานมาก กกต.แขวนแล้วแขวนอีก สั่งเลือกตั้งหลายครั้ง และการเลือกตั้งครั้งนั้นการซื้อเสียงไม่มี เพราะองค์กรอิสระทำหน้าที่ต้องไปตรงมา ทำให้สังคมมีความเชื่อมั่น องค์กรอิสระจึงไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม
"แต่ปัญหาคือองค์กรอิสระนั้น อิสระจริงหรือไม่ ช่วงที่ผ่านมาการยุบพรรคย้อนไปตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชน หรือพรรคชาติไทยของตนมีธงหรือไม่ ทุกคนในสังคมรู้ว่ามันมีที่ไปที่มา กกต.มีธงชัดเจน ว่าจะยุบพรรคนั้นยุบพรรคนี้เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการเมือง แล้วส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อก่อนเป็นองค์กรอิสระ แต่เดี๋ยวนี้ยกสถานะเป็นศาลแล้ว นายกฯบรรหาร ในขณะนั้นจะไปไต่สวนศาล บอกไม่ต้อง เสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็มีการยุบพรรคเกิดขึ้น ดังนั้นจะทำอย่างไรให้สังคมมั่นใจ ว่าองค์กรอิสระไม่มีเจ้าของ ไม่มีใบสั่ง" นายภารดร กล่าว
นายภราดร ยังกล่าวด้วยว่าถ้าไปดูที่ไปที่มาขององค์กรอิสระจากรัฐธรรมนูญ ตนเคยพูดไว้แล้วว่าไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และบอกก่อนลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่าตนไม่เห็นด้วยกับที่ไปที่มาขององค์กรอิสระ ที่ไปที่มาของนายกรัฐมนตรีในช่วง 5 ปีแรก และบทเฉพาะกาล แต่เมื่อตนเป็นเสียงข้างน้อย และสังคมส่วนใหญ่เห็นด้วยก็ต้องใช้กติกานี้ ฉะนั้นถ้าจะมีการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา เป็นกลางมากที่สุดก็ต้องเขียนกติกาใหม่ เรื่องที่ไปที่มาของ กกต. ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ให้คงสถานะเป็นศาลเหมือนปัจจุบัน แต่ให้ย้อนสถานะกลับไปแล้วเรียกชื่อใหม่เป็นแค่องค์กรอิสระ ที่วินิจฉัยเฉพาะความขัดแย้งของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเท่านั้น ไม่ใช่ก้าวขึ้นมาเป็นศาล แล้วมีอำนาจวินิจฉัยครอบคลุมในทุกเรื่อง เรื่องนี้จึงต้องไปตกผลึกในสังคมให้ดี คนเขียนก็เป็นสิ่งสำคัญ ยังชูธงเหมือนเดิมว่าควรเหมือนปี 40 ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มีที่มาจากประชาชน สิ่งต่างๆที่ควรจะบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้ไปถามพี่น้องประชาชน ใครเห็นด้วยกับประเด็นไหนอย่างไร ก็ให้มีการเปิดเวทีอย่างกว้างขวาง อย่าให้เหมือนรัฐธรรมนูญ 2560 คนวิจารณ์ไม่ได้ แต่ควรเปิดเวทีอย่างกว้างขวางรับฟังความเห็นจากสังคม ว่าอยากเห็นรัฐธรรมนูญแบบไหนให้ประชาชนเขียนกติการ่วมกัน
ส่วนจะได้มีการร่างรัฐธรรมนูใหม่ในเร็วๆนี้หรือไม่เห็นว่า ทุกครั้งถ้าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะเกิดปัญหา การขับเคลื่อนของพรรคการเมือง ก็มีแนวทางไม่เหมือนกัน ดังนั้นต้องคุยกันให้ตกผลึกให้เรียบร้อยก่อน ว่าเราจะอยู่กับกติกาที่ เอาองค์กรอิสระที่ก็ไม่รู้ว่ามีเจ้าของหรือไม่มาเป็นตัวกำหนดทิศทางทางการเมืองแบบนี้หรือ การยุบพรรคการเมืองจะเป็นเครื่องมือใช้แสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองของเจ้าขององค์กรอิสระอย่างนั้นหรือ สังคมพร้อมหรือยังที่จะเดินหน้าแก้ไขกติกา เราในฐานะพรรคการเมือง นักการเมืองตอบไม่ได้เพราะมีคนที่ชอบและไม่ชอบ ได้ประโยชน์เสียประโยชน์ จึงควรไปถามประชาชนไปทำประชามติถ้าประชาชนเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเห็นว่าอยู่ไม่ได้แล้วกับกติกาแบบนี้ อยากจะเปลี่ยนกติกาก็ส่งสัญญาณให้กับพรรคการเมืองว่าประชาชนทั้งประเทศอยากจะเดินหน้าแก้ไขกติกานี้ นักการเมืองถ้าได้รับสัญญาณมาจากประชาชนก็บิดพลิ้วไม่ได้ แม้ว่าเขาจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์
แต่เมื่อประชาชนส่งอาณัติสัญญาณมา เขาก็ต้องทำตามความต้องการของประชาชน ซึ่งการจะทำประชามติจะต้องให้ประชาชนผู้ออกเสียง เข้าใจประเด็นก่อนว่า ต้องการจะทำเรื่องอะไร เนื้อหาสาระเป็นอย่างไร เป็นหน้าที่ รัฐบาลจะต้องอธิบายและทำความเข้าใจกับประชาชน ส่วนคำถามที่จะทำก็ต้องเคลียร์ ชัดเจน เข้าใจง่าย เช่น 1.ต้องการจะแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ 2.จะให้ตั้ง สสร.หรือไม่ 3.จะแก้เนื้อหารัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะคงไว้หมวด 1 หมวด 2 หรือไม่ เป็นต้น
นายภราดร ยังตอบคำถามถึงการทำหน้าที่ของพรรคภูมิใจไทยในฐานะฝ่ายค้านว่าในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ และในฐานะของผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหารแน่นอนที่สุด ว่าไม่มีซูเอี๋ย และก็บอกได้เลยว่าถ้าพรรคภูมิใจไทยเป็นฝ่ายค้าน เราทำได้ดีกว่าพรรคประชาชนอย่างแน่นอน ส่วนแนวทางในการทำงานร่วมกัน ในความคิดของตน ถ้าเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกัน ก็ควรที่จะต้องทำงานร่วมกัน และประสานกัน แต่เมื่อวานได้ฟังคำพูดของหัวหน้าเท้งก็รู้สึกแปลกๆ ที่บอกว่า คนที่มาเป็นฝ่ายค้าน ถูกเตะมาทั้งนั้น ฟังแล้วไม่มีมิตรภาพกันเลย อย่างนั้นต่างคนต่างทำงาน ต่างตรวจสอบก็ได้ แต่ตนก็ไม่ขัดข้องที่จะทำงานร่วมกัน
เมื่อถามว่า หากมียุบสภาเกิดขณะนี้ พรรคภูมิใจไทยพร้อมในการเลือกตั้งหรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า นายอนุทิน หัวหน้าพรรค บอกพร้อมตั้งแต่เดือนที่แล้ว ฉะนั้นเรื่องเลือกตั้ง ไม่ใช่ปัญหาของพรรคภูมิใจไทยเราเป็นนักการเมืองก็ต้องเตรียมพร้อมสถานการณ์ตั้งแต่วันแรกที่เป็นผู้แทน ต้องนับถอยหลังแล้ว เพราะอย่างสถานการณ์เมื่อวานเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคิด แต่ถามว่าการเรียกร้องให้ยุบสภาของพรรคประชาชน มีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ ก็ต้องดูว่านายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจยุบสภาหรือไม่ ซึ่งตนไม่ก้าวล่วง แต่เชื่อว่านายกฯมีข้อมูลมากกว่ากองเชียร์ ซึ่งทำให้ท่านจึงน่าจะตัดสินใจได้ดีที่สุด
ถามว่าหากเจอสถานการณ์เดียวกับที่นายกรัฐมนตรีเจออยู่ในขณะนี้ นอกจากการขอโทษแล้ว ควรจะหาทางออกทางการเมืองอย่างไร นายภราดร กล่าวว่า ตนไม่กล้าไปสวมรองเท้านายกรัฐมนตรี ตนให้หัวหน้าพรรคของตนสวมดีกว่า
เมื่อถามย้ำว่านายอนุทิน มีโอกาสสวมรองเท้านายกฯหรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า หัวหน้าผมมีชื่ออยู่ใน 4 แคนดิเดต แต่ทั้งนี้กรณีดังกล่าวจะเกิดขึ้นหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจของนายกฯ และกระบวนการต่อไปหลังจากนั้น ว่าตัดสินใจแบบไหนซึ่งขั้นแรก นายกฯ ต้องตัดสินใจทางการเมืองก่อน ทั้งนี้ ตามกฎหมายก็ขึ้นอยู่กับสมาชิกรัฐสภา 395 คน ที่มีอำนาจเลือกนายกฯ ว่าจะตัดสินใจแบบไหน หากนายกฯตัดสินใจลาออก
ส่วนที่พรรคภูมิใจไทยย้ายเป็นฝ่ายค้านแล้ว คะแนนเสียงมีโอกาสเทไปอีกฝั่งที่ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย นายภราดร กล่าวว่า ในประวัติศาสตร์การเมืองหลายครั้ง เช่น เมื่อครั้ง "บิ๊กจิ๋ว" ยุบสภาก็เกิดการพลิกขั้ว พรรคร่วมรัฐบาลก็ย้ายไปอยู่กับฝ่ายค้าน แล้วก็เชิดนายกฯคนใหม่ขึ้นมา เกิดขึ้นได้หมด อยู่ที่การเจรจา และหาทางออกให้ประเทศ ซึ่งแนวทางไหนที่จะเกิดประโยชน์กับประเทศมากที่สุด ตนเชื่อว่านักการเมืองก็จะเดินไปในแนวนั้น
Advertisement