วันที่ 14 มิ.ย. 68 ผศ.ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิชาการ และอาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศ และศูนย์กฎหมายแพ่ง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกรณีข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาว่า คาดว่าทางฝั่งกัมพูชายืนยันจะยื่นเรื่องนี้ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ดังนั้นสิ่งที่ไทยจะต้องทำต่อคือ การมีจุดยืนที่ชัดเจน หากเราไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกจะต้องทำแถลงการณ์ โดยนายกรัฐมนตรีหรือ รมว.ต่างประเทศ ต่อสาธารณชน และอาจจะต้องทำหนังสือไปยังศาลโลกว่าไทยไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดี เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นว่า ไทยยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลกโดยปริยาย
นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาการตั้งคณะทำงานภายในประเทศ เพื่อหาแนวทางและกลไกในการดำเนินการต่อไปเกี่ยวกับข้อพิพาทแนวชายแดน เพราะอาจมีบริเวณอื่นที่จะนำไปสู่ปัญหาในอนาคต ซึ่งทางรัฐบาลจะต้องมีการสื่อสารสาธารณะให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ประชาชนมองว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลย
ส่วนวันที่ 15 มิ.ย. 68 กัมพูชาจะยื่นเรื่องข้อพิพาทต่อศาลโลกฝ่ายเดียว จะทำได้หรือไม่ ผศ.ดร.ธนภัทร กล่าวว่า โดยหลักการใครฟ้องก็สามารถฟ้องได้ แต่ศาลจะรับหรือไม่ก็อีกเรื่อง ดังนั้นไทยจะต้องแถลงการณ์ให้ชัดเจนว่าไม่รับเขตอำนาจของศาลโลก เพื่อให้ศาลโลกพิจารณาว่าศาลก็ไม่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดี ซึ่งการที่กัมพูชายื่นฟ้องต่อศาลโลกในวันที่ 15 มิ.ย. มีนัยยะ เพราะวันดังกล่าวเป็นวันเดียวกับที่เคยมีคำพิพากษากับคดีเขาพระวิหาร จึงมองว่าเป็นนัยยะทางการเมืองที่ทำให้ฮึกเหิมภายในประเทศ
ส่วนหากการเจรจาไม่เป็นผลจะเพิ่มข้อกดดันได้อย่างไรนั้น ควรมองการเจรจาเป็นขั้นๆ ไป อย่างไรก็ตามตนคาดว่ากลไกการเจรจา JBC ก็คงยังอยู่ เพราะไม่ได้มีการยกเลิกอะไร และเป็นการให้ความยินยอมล่วงหน้าแล้วของทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้น JBC ถือเป็นกลไกแรกที่ทางรัฐบาลไทยน่าจะมองว่าเป็นกลไกที่สำคัญที่สุด แต่หากไม่เป็นผลก็อาจจะต้องมองถึงบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องร่วมเจรจาในอนาคต ก็คาดว่าจะอยู่ในระดับอาเซียนก่อน
บทบาทของอาเซียนตอนนี้มีกลไกที่รับรองอยู่คือ กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ซึ่งจะมีเวทีที่พูดคุยหลายระดับ และอาจจะหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดคุยกัน ซึ่งหากทั้ง 2 ประเทศยกระดับความกดดันจะเป็นผลอย่างไรกับอาเซียนนั้น ก็ต้องดูว่าประเด็นที่ยกขึ้นมากดดันกันนั้นเป็นลักษณะไหน หากเป็นประเด็นทางการเมืองและเศรษฐกิจก็จะเกิดผลค่อนข้างมาก ก็จะนำไปสู่การเจรจากันมากขึ้น ส่วนเรื่องความรุนแรง มองว่าเราไม่ควรเริ่มความรุนแรงก่อน แต่หากท้ายที่สุดเกิดขึ้นแล้ว ก็จะเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหลายเรื่อง
กรณีหลายฝ่ายมองว่าทางกัมพูชาออกแถงการณ์นำหน้าไทย ก็จะนำไปสู่ปัญหาภาพลักษณ์แน่นอน เพราะกัมพูชาจัดตั้งทีมค่อนข้างครบถ้วน มีการดำเนินการทุกอย่างค่อนข้างชัดเจนและมีระบบ และแถลงการณ์อย่างต่อเนื่อง แต่ขณะที่ไทยกลับใช้วิธีตั้งรับเยอะกว่า โดยเป็นการรอให้ฝั่งเขาแถลงแล้วฝั่งเราค่อยแก้เป็นเรื่องๆ ไทยขาดความเป็นเอกภาพและระบบลำดับขั้นตอนการดำเนินการ ดังนั้นควรสื่อสารกับประชาชนให้ชัด
ส่วนเรื่องข้อได้เปรียบเสียเปรียบ ตอนนี้กัมพูชาพยายามหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นศาลโลก ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดของเขา แต่ส่วนของไทยยังยืนยันใช้กลไก JBC ซึ่งหากผลการเจรจาวันนี้และในอนาคตไม่นำไปสู่อะไรเลย ตรงนี้ประเทศไทยจะมีปัญหาแน่นอน แต่ประเทศไทยจะได้เปรียบกลับมาก็ต่อเมื่อ กัมพูชายื่นฟ้องศาลโลก แล้วศาลได้มีคำพิพากษาออกมาว่าไม่มีเขตอำนาจในเรื่องนี้ ไทยก็จะได้เปรียบ เพราะไทยมีการดำเนินการแล้ว และศาลไม่มีอำนาจในการเจรจา ดังนั้นจึงต้องเจรจา JBC ที่ยินยอมทั้งสองฝ่าย
ส่วนแถลงการณ์วันนี้ที่ ฮุน เซนพูด ถึงการให้นานาชาติกดดันมาที่ไทย ให้นำเรื่องนี้ขึ้นศาลโลก จะมีผลต่อไทยหรือไม่ ผศ.ดร.ธนภัทร บอกว่า เรื่องนี้ถือว่าสำคัญ กัมพูชาเลือกใช้กลไกนี้ เพราะจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องมาใช้กลไกยื่นฟ้องฝ่ายเดียว
Advertisement