"วาสนา นาน่วม" นักข่าวสายทหาร ผ่าแผนร้ายฮุนเซน-กัมพูชา จ้องยึดแดนไทย เพราะเราทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเกินไป รวมถึงรัฐบาลก็อยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์
วันที่ 2 มิ.ย. นางสาววาสนา นาน่วม ข่าวอาวุโสสายทหาร ให้สัมภาษณ์พิเศษ กับอมรินทร์ออนไลน์ วิเคราะห์การเดินเกมของกัมพูชา ถึงข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนระหว่างชายแดนไทยกัมพูชา ว่า ก้าวแรกที่เราเข้าไปในแผนของกัมพูชา คือวันที่มีการปะทะ 28 พ.ค. 2568 ซึ่งทหารไทยต้องเข้าใช้กำลังทหารกดดัน เพื่อให้ทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ประเทศไทย แม้จะรู้ว่าจะเข้าแผนเขา
ซึ่งหลังจากนั้นจะเห็นฝั่งกัมพูชาเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบ และมีความพร้อมเพรียง ตั้งแต่สมเด็จฯ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และสมเด็จฯฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งทหารไทยรู้ว่าทหารกัมพูชาต้องการเกิดการปะทะ เพื่อนำฟ้องชาวโลกหรือฟ้องศาลโลก ซึ่งบริเวณช่องบก ทหารกัมพูชาไม่ใช่เข้ามาเพียงแค่พื้นที่ทับซ้อนอ้างสิทธิ์ร่วมกัน แต่มีการล้ำเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย ประมาณ 150 เมตร และที่ผ่านมาเรามีการประท้วงผ่านกระบวนการมาตลอด และทหารไทยยึดความเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ได้ใช้กำลังทหารกดดัน แต่เมื่อมีสถานการณ์ล่าสุดที่ต้องนำกำลังหารเข้าไปเจรจาให้ออก เนื่องจากเห็นว่าทางทหารกัมพูชา มีการรุกเข้ามาในหลายพื้นที่ หรือก่อนหน้านี้ที่เนิน 745 ซึ่งมีการขุดคูเลตอีกด้วย แต่มีการเคลียร์ใจปรากฏภาพนั่งรับประทานอาหารกัน แต่ตนเชื่อว่าทหารกัมพูชาไม่ได้อยู่นิ่ง หรืออย่างที่บอกว่าในห้วงรัฐบาลที่ผ่านมา ทหารกัมพูชาดูเรียบร้อย ไม่มีความเคลื่อนไหว
แต่ตนเชื่อว่าช่วงที่ผ่านมาเขาคิดแผนนี้มาโดยตลอด เพราะต้องดูที่ตัวผู้นำ อย่างอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่เป็นนักรบ ซึ่งมองว่ามีปมในใจว่าสิ่งใดที่เป็นเรื่องของดินแดนยอมไม่ได้ และอีกเหตุผลหนึ่งที่เชื่อว่าหลายคนคิดตรงกัน คือต้องการสร้างการเป็นที่ยอมรับ หรือเรียกคะแนนจากประชาชน ในยุคนี้ลูกชายของเขาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ขึ้นมาเพราะเป็นลูกของสมเด็จฯ ฮุนเซน แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับในหมู่ทหาร สิ่งที่เป็นจุดร่วมกันระหว่างพ่อกับลูกคือพ่ออยากเคลียร์เรื่องดินแดน ส่วนลูกอยากประกาศให้เห็นว่าไม่ธรรมดา โดยการยึดพื้นที่ยึดดินแดนเพื่อสร้างคะแนนนิยม และให้เห็นว่าตนเองนั้นแข็งแกร่ง เพื่อให้บรรดาทหารรุ่นเก่าที่ยังไม่ยอมรับได้รู้ว่ามีความเด็ดขาดเกิดขึ้นในยุคที่เขาขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
"เหตุวันที่ 28 พฤษภาคม ยอมรับว่ารู้สึกแปลกใจเพราะเป็นเหตุการณ์ปะทะเล็กๆ จากข้อมูลของฝ่ายกองทัพบกไทย ระบุว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายขอเจรจา และการปะทะนี้ทำไมต้องรีบขอเจรจา หรืออาจจะเพราะไม่อยากให้เหตุการณ์บานปลาย หากเทียบเมื่อพิการเมื่อปี 54 ซึ่งสามารถนำมาซึ่งการเจรจาได้ ทั้งผู้เจรจาเป็นผู้บัญชาการทหารบกของทั้ง 2 กองทัพ ซึ่งหากเคลียร์ได้ก็จบ แต่ทางกัมพูชาจะออกแถลงการณ์ 4 ข้อ ไม่ตรงกับของทางการไทย ซึ่งประกาศจะไม่ถอยจากดินแดน ซึ่งสามารถบ่งบอกว่าเขาคิดแบบใดตั้งแต่ก่อนมาเจรจา แต่ส่วนนึงต้องชมกองทัพ เพราะเราเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า ถ้าหากไปทำอะไรที่เหมือนรังแกอาจจะไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงเห็นว่าทหารไทยพยายามเล่นบทสุภาพบุรุษ ผ่านการเจรจา แต่ฝั่งกัมพูชากับยึดสิ่งที่เขาได้รับประโยชน์"
ก่อนหน้านี้หลังจากทหารกัมพูชา เข้ามาที่แนวต้นพญาสัตบรรณ ที่เป็นสัญลักษณ์เขตไทย และตั้งฐานทหารด้วยการเอารถแทรคเตอร์ เข้ามาขุดคูเรทยึดพื้นที่แล้วยังโค่นต้นไม่ขวางทหารไทยด้วย นางสาวสาสนา กล่าวว่า จากการพูดคุยกับทหารพื้นที่ ย้อนไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เกิดปัญหาที่ประสาทตาเหมือนธม มีการเบี่ยงเบนความสนใจมาจุดนี้ และอาศัยช่วงจังหวะนั้นคือผ่านไปยังพื้นที่ช่องบกหรือสามเหลี่ยมมรกต ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าทางกัมพูชามีการคิดมาแล้วนอกจากนี้หากยึดตามที่ สมเด็จฯ ฮุนเซน โพสต์ และบอกว่าพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตเป็นของเขา จึงได้เห็นความตั้งใจที่จะเข้ายึดจุดนี้มานาน ทั้งจากเรื่องความเป็นชาตินิยม และการสร้างคะแนนนิยม สร้างผลงานให้กับลูกชาย เพื่อสร้างการยอมรับในการเป็นผู้นำต่อไป
ส่วนที่บอกว่ามีการถ่ายรูปมาในอดีต หากดูตามข้อเท็จจริงไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือทหารก็สามารถเข้าไปถ่ายได้ ดังนั้นจึงไม่ได้หมายความว่าเป็นเจ้าของ แต่ต้องยอมรับว่าทางกัมพูชามีชุมชนอยู่ใกล้พื้นที่ศาลาตรีมุขกว่าเรา จึงทำให้สามารถนำรถแทรกเตอร์ เข้ามาได้ และะมีการยึดค่อนข้างถาวร การที่จะทหารไทยจะไปกดดันให้ออกหรือใช้ปฏิบัติการทางทหารจึงไม่ใช่ง่าย และนโยบายของกองทัพและรัฐบาลต้องการใช้เจรจา ไม่ต้องการใช้ปฏิบัติการทางทหารเมื่อเกิดความรุนแรง ซึ่งทำให้ทหารในพื้นที่ค่อนข้างมีความอึดอัด เพราะต้องฟังนโยบาย
แต่ในฐานะทหารในพื้นที่รักษาดินแดนไทยมาหลายยุค อาจรู้สึกทนไม่ไหว เพราะทหารกัมพูชายั่วยุ ไม่มีความยำเกรงในทหารไทย เพื่อทำให้เกิดน้ำผึ้งหยดเดียว สิ่งสำคัญคือการนำเข้าในเขตไทย 150 เมตร จึงทำให้ทหารไทยไม่ยอมแม้ที่ผ่านมาจะอดทนได้ 2 เดือนกว่า ซึ่งหากมองว่าเป็นเกมของกัมพูชา เพราะที่ผ่านมาเราไม่ตอบโต้ ไม่เปิดศึก ดังนั้นจึงทำการล้ำดินแดน ทำให้ทหารไทยต้องเข้ามาดำเนินการ ซึ่งรู้ว่าอาจจะเข้าเกมของกัมพูชาแต่ไม่สามารถที่จะปล่อยไปได้แล้ว
นางสาววาสนา ยังระบุว่า อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาตนได้ติดทำข่าวชายแดนไทยกัมพูชา แต่ที่มีการสู้รบกันในปี 2554 ยาวมาจนถึงปัจจุบัน แต่เหตุใดไทยต้องยอมให้กับกัมพูชามาโดยตลอด และพยายามไม่เชื่อมโยงว่ามีควาทสนิทสนมกับระดับรัฐบาล หรือระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร กับสมเด็จฯ ฮุนเซน แต่หากย้อนไปในอดีตผ่านมาหลายยุคหลายสมัย ที่เหมือนกัมพูชาเป็นเหมือนน้องคนเล็กหรืออย่างไร เหตุใดจะต้องมีการโอ๋มาโดยตลอด
เช่น การก่อสร้างเขาพระวิหารจำลองที่ผามออีแดง ในพื้นที่ของประเทศไทย แต่เมื่อมีภาพปรากฏออกไปกัมพูชาประท้วงว่าไม่สามารถสร้างได้ทั้งที่เป็นการสร้างในพื้นที่ประเทศไทยและไทยที่สุดกัมพูชาไม่ยอมให้สร้างผู้บังคับบัญชาฯ ในขณะนั้นมีการลงโทษคนที่สร้าง จากนั้นก็มีการทุบทิ้ง ตนจึง ตั้งคำถามว่าเหตุใดเราจึงยอมกัมพูชามาโดยตลอดส่วนหนึ่งเพราะความเป็นคนไทย อะไร ก็ไม่เป็นไร ซึ่งกัมพูชาจุดอ่อนเรา ว่าจะทหารไทยและคนไทยใจดี ท้ายที่สุดก็คืบคลานมาแบบนี้
ส่วนที่กัมพูชาเขาอ้างว่าอยู่มาตั้งแต่ก่อน MOU 2543 เหนืออ้างสิทธิ์เหนือดินแดนสามเหลี่ยมมรกต ปลุกกระแสคลั่งชาติ พร้อมประกาศยิงเครื่องบินรบไทย ทหารไทยควรหยุดการเป็นสุภาพบุรุษแล้วหรือยัง นางสาววาสนา ระบุว่า ตนมองว่าทหารหลายคนอยากทำตามที่ใจคิด หรือนำกำลังเข้าไปบุกลุย แต่ในทางเป็นจริงทำไม่ได้เพราะหากทำเกิดการประทะจะลามไปตลอดแนวและเกิดการสู้รบเหมือนปี 2554 และการจะดำเนินการลักษณะนี้จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้บังคับบัญชา และระดับนโยบายต้องการใช้สันติวิธีในการแก้ปัญหา เพราะต่อให้มีการสู้รบก็ต้องมีการเจรจา ซึ่งมีความคิดที่ต่างกัน เช่น ฝ่ายนโยบายมองว่าหากมีการสู้รบท้ายที่สุดต้องเจรจา แล้วจะทำให้เกิดการสูญเสียด้วยทำไม แต่อีกฝั่งในพื้นที่คือทหาร ที่ถูกยั่งยุศักดิ์ศรีความเป็นทหาร ความไม่ยำเกรงหรือไม่เกรงใจ ทำให้เขาคิดว่าอยากสั่งสอน และส่วนตัวไม่อยากให้เกิดการสู้รบ
แต่บางครั้งกลับย้อนคิดว่าเพราะ ฝั่งกัมพูชาไม่มีบทเรียน จึงไม่ค่อยเกรงใจเรารวมถึงเขามั่นใจว่ามีอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ด้อยไปกว่าไทยเท่าไหร่ และมีการพูดว่ากัมพูชาร้อน มีอาวุธยุทโธปกรณ์อยากลองใช้อยากลองยิงจึงแสดงออกถึงความยำเกรงกับฝ่ายทหารไทยรวมถึงการมีแผนที่จะยึดครองพื้นที่ด้วย ส่วนที่มีคนถามว่าหากมีการสู้รบกันเหมือนปี 2554 ตนมองว่าทหารไทยชนะอยู่แล้ว แต่อาจมีการสูญเสียมากขึ้น เพราะฝั่งกัมพูชามีอาวุธยุทธโธปกรณ์ที่ทันสมัยกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทั้งได้รับการสนับสนุนจากฝั่งประเทศจีน แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ต้องพูดคุยระดับนโยบายระดับรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมานายทักษิณ โดนโจมตีเป็นอย่างมากถึงความสนิทสนมกับฝั่งตระกูลฮุน จะทำให้ฝั่งเราดูอ่อนหรือไม่ และหากสมมุติว่า นายกฯแพทองธาร และนายทักษิณสั่งลุยไฟเขียวทางการทหารจะเป็นไปได้หรือไม่ แต่ไม่ถึงขั้นให้เกิดการสู้รบขนาดใหญ่จะสร้างความเชื่อมั่นว่าไม่ได้เห็นด้วยหรือโอนอ่อนกับฝั่งกัมพูชา แต่ยังนึกไม่ออกว่าหากไม่ใช่การสู้รบ หรือใช้การเจรจาที่กัมพูชาตั้งแง่ตั้งแต่ไม่ประชุม JBC แล้วจะสามารถตกลงกันได้หรือไม่
หลังจากนี้กองทัพและรัฐบาลต่อต้องจิ๊กซอว์อะไรอีกหรือไม่ เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด นางสาววาสนา ระบุว่า ทั้งนี้ตนขอติ่งการตอบโต้ระดับกองทัพจนถึงระดับประเทศถือว่ายังน้อยไป กองทัพบอก ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีอะไรคุยกันได้ สงบดี ให้ประชาชนเหมือนอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ ซึ่งเรื่องนี้ควรมีลิมิต โดยควรต้องแถลงหรือให้ข้อมูล ซึ่งไม่ให้เกิดการตื่นตระหนก แต่บางข้อมูลต้องบอกให้ประชาชนดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น นอกจากนี้อยากให้ “ผบ.ทบ. ฝ่ายดูแลกรมแผนที่กรมชายแดน และทหารอยู่ในพื้นที่ ปิดห้องขุดคุยกันกับนางสาวแพทองธาร นายภูมิธรรม รวมถึงนายทักษิณ พูดคุยกันทุกเรื่องอย่างตรงไปตรงมา และต้องมีการปรับเปลี่ยนความคิดเล็กน้อย แล้วท้ายที่สุดต้องประเทศเป็นหลัก ส่วนสายสัมพันธ์ที่มีอาจจะดำเนินการที่เบาลง โดยออกในลักษณะของการทำเป็นพื้นที่โนแมนแลนด์
และก่อนหน้านี้นายทักษิณ ให้สัมภาษณ์ว่าจุดพิพาทสามารถทำเป็นพื้นที่ โนแมนแลนด์ ซึ่งในมุมของทหารที่มีการยึดมั่นเป็นปณิธานต่อให้พื้นที่นั้นเป็นป่าเขา แต่เป็นพื้นที่อธิปไตยของไทยต้องรักษาไว้ แม้ตารางนิ้วเดียวก็ยอมไม่ได้ ซึ่งในมุมมองนายทักษิณ ที่เป็นอดีตนายตำรวจ หรือมีการมองในมุมธุรกิจมากกว่า ว่าในเชิงมูลค่าเป็นป่าเป็นเขาไม่คุ้มที่จะต้องไปเสียชีวิตไม่ว่าจะเป็นทหารไทยหรือทหารกัมพูชา จึงควรเป็นโนแมนแลนด์ โดยมุมของตนโนแมนแลนด์ สามารถแก้ปัญหาได้จริงแต่ต้องเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ซึ่งเป็นข้อตกลงตามเอ็มโอยู 2543 แต่ที่ผ่านมากัมพูชาไม่ยึดเมื่อเป็นพื้นที่โนแมนแลนด์ ทหารไทยไม่เข้าแต่กัมพูชาเข้าเอง ทั้งนำครอบครัวมาอยู่ ซึ่งเป็นเทคนิคที่นำมาใช้ตลอด ดังนั้นหากจะเป็นโนแมนแลนด์ ต้องมีการลาดตะเวนทุกสัปดาห์ แต่สิ่งหนึ่งใช้ไม่ได้ที่บริเวณช่องบกคือโนแมนแลนด์ ต้องเป็นพื้นที่ที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน แต่ส่วนที่กัมพูชาล้ำก็มา 150 เมตร ไม่สามารถปล่อยได้ ไม่เช่นนั้นเรานะเสียดินแดนให้เป็นพื้นที่ตรงกลาง โดยยืนยันว่าแนวคิดนี้ใช้ได้แต่ไม่สามารถทำได้ทุกจุด และจากที่กัมพูชาประกาศออกมา พื้นที่ช่องบกอาจจะเป็นไปได้ยาก
ส่วนคนไทยไม่น้อยห่วงว่าจะซ้ำรอยพระวิหาร และไม่อยากเห็นภาพทหารไทยเก็บธงออกจากพื้นที่ นางสาววาสนา กล่าวว่า ส่วนตัวรู้สึกกลัว และได้มีการเห็นภาพเหตุการณ์ในวันนั้น เพียงแค่คิดว่าเป็นทหารไทยในวันนั้นมันเป็นการเสียดินแดนรวมถึงเรื่องของศักดิ์ศรี ซึ่งตนเชื่อว่าคนไทยที่ได้เห็นภาพนั้นจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก แต่ก็เกิดความเสี่ยงขึ้นอีกครั้งเมื่อปี 2554 ที่จะเป็นเทคนิคของกัมพูชาให้รบก่อนจากนั้นมีการฟ้องศาลโลก ซึ่งเป็นแพทเทิร์นที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งเชื่อว่าหลายฝ่ายจะต้องมีการเตรียมแผนรับมือไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย วันนี้ต้องมีตั้งความหวังกับรัฐบาลและผู้นำกองทัพ
แต่ขณะนี้จุดอ่อนคือฝั่งรัฐบาลเริ่มมองว่าคนที่ออกมาต่อต้านกัมพูชาเป็นขบวนการที่ไม่เอารัฐบาลไทย นำการเมืองมาผสม ว่าเป็นกลุ่มไม่เอาระบอบทักษิณ จึงยอมรับว่าบางส่วนก็มีสำหรับคนที่ไม่ชอบระบบนี้ แต่ตนเชื่อว่าเรื่องของดินแดนไม่มีใครยอม และขอให้รัฐบาลอย่ามองว่าการที่มีคนออกมาต่อต้านหรือแสดงออกในลักษณะนี้ว่าการเมือง แต่ต้องมองว่าเป็นความรู้สึกร่วมของประชาชนที่ต้องใส่ใจ ซึ่งเรื่องอื่นอาจจะปลุกกระแสไม่ได้ แต่เรื่องดินแดนอ่อนไหวต่อความรู้สึกของคน ไม่ว่าจะเป็นวัยไหนสีไหนหรือพรรคใด และจากเหตุการณ์นี้ทำให้มีการสนับสนุนกองทัพมากขึ้น
เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติ ที่ถือว่าดีมากตั้งแต่รุ่นพ่อยันรุ่นลูก ทำไมกัมพูชาจึงเลือกลงมือในรัฐบาลชุดนี้ เป็นไปได้ไหม กัมพูชาเองก็มองเห็นการเมืองไทย รัฐบาลกำลังอ่อนแอจากปัญหารอบด้าน นางสาววาสนา กล่าวว่า ปัจจัยทางการเมืองภายในของไทยเป็นเรื่องท้ายๆ ซึ่งตนยอมรับว่าเคยคิดผิด ว่าเมื่อรัฐบาลนี้ขึ้นมาบริหารประเทศระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา น่าจะสามารถเคลียร์กันได้เรื่องชายแดน เพราะมีความสัมพันธ์ที่เกาะแน่นกันมา แต่ปรากฏว่าต้องอยู่กันแบบนี้ต่อ
ซึ่งหากความสัมพันธ์ดีไม่ว่าจะเป็นระหว่างนายทักษิณหรือสมเด็จฮุนเซน หรือนายกทั้ง 2 ประเทศ พูดคุยกันจะทำให้เป็นชายแดนสันติสุข แต่ในทางปฏิบัติไม่เป็นแบบนั้น ส่วนที่กัมพูชาหนุนแนวคิดส่งข้อพิพาทต่อศาลโลก ถือเป็นการยื่นฝ่ายเดียวเพราะประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีศาลโลก ซึ่งศาลไม่สามารถมาสั่งได้ แต่สิ่งที่กัมพูชาจะได้คือการฟ้องต่อชาวโลก ทั้งถือเป็นความสำเร็จขั้นที่ 2 ที่สามารถนำเรื่องนี้ขึ้นสู่เวทีระดับโลก เพื่อให้ถูกมองว่ากัมพูชาถูกไทยรังแกอีกแล้ว ซึ่งตนมองแล้วว่าเหนื่อย แม้กัมพูชาจะเป็นประเทศเล็กแต่ด้วยนิสัยเป็นแบบนี้
แต่ความเป็นไทย ความเป็นสุภาพบุรุษต้องเลือกว่าจะเป็นสุภาพบุรุษกับใคร ต้องดูว่าคนที่เป็นสุภาพบุรุษนั้นสมควรด้วยหรือไม่ แต่ที่ผ่านมาไทยเป็นสุภาพบุรุษกับกัมพูชา แต่เรากลับไม่เคยได้รับความเป็นสุภาพบุรุษนั้นกลับเลย แม้จนถึงขนาดนี้มีการพูดคุยกันระดับรัฐบาล ซึ่งตนเชื่อว่าวันนี้นายกรัฐมนตรี นายทักษิณ นายภูมิธรรม ต้องได้เห็น ว่ากัมพูชาไม่ได้หยุดแค่การเจรจาบนโต๊ะของ 2 ผบ.ทบ. แต่กลับเดินหน้าต่อในเรื่องทางกฎหมาย ซึ่งจะรับมืออย่างไรเป็นสิ่งที่เราต้องคิด เมื่อยืนยันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงแต่ต้องไม่เสียเปรียบ
Advertisement