ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญเป็นกรณีพิเศษ วาระการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 เป็นวันที่ 3 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงข้อซักถามของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน และนายปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ถึงงบประมาณกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ว่า ประเด็นแรกคือเรื่องการหักเงิน 3,000 บาท ซึ่งตอนนี้ได้มีการชะลอออกไปแล้วตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นต้นไป
ช่วงนี้จึงอยากให้ผู้กู้ยืมเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ ซึ่งมีผู้เข้าข่ายต้องปรับโครงสร้างราว 500,000 คน และรัฐบาลได้ดำเนินการปรับโครงสร้างไปแล้ว 240,000 คน และปิดบัญชีแล้วประมาณ 3,300 คน ส่วนที่บอกว่า กยศ.ถังแตก ตนต้องบอกว่ายัง ตนเคยยืนยันไปแล้วว่าคนที่เคยได้รับสิทธิ์อยู่ จะได้รับสิทธิ์ต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อก่อนนี้มีปัญหา แต่พอมีรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เราก็มีการคำนวณใหม่ว่าจะเอาแบบไหน สุดท้ายเลยให้คำนวณย้อนหลังไปถึงวันที่กู้ยืม ถือเป็นงานใหญ่สำหรับ กยศ.แต่ ณ วันนี้ยืนยันว่าการคำนวณจะแล้วเสร็จช่วงเดือน ก.ค. เพื่อเดินหน้าเป็นแหล่งเงินช่วยเหลือประชาชนเรื่องการศึกษาต่อไป
โดยในงบประมาณปีนี้ กยศ.มีภาระเรื่องของการกู้ยืมเงิน 41,3000 ล้านบาทเศษ ซึ่ง กยศ.ขอรับจัดสรร 21,900 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 19,000 ล้าน กยศ.จะบริหาร ซึ่งขั้นตอนของการจัดทำงบประมาณ หน่วยงานที่จะปรับลดคือสำนักงบประมาณ จากการไปพูดคุยว่าจะปรับลดแค่ไหน จึงเหลือประมาณ 5,000 ล้านบาทเศษ แต่ไม่ได้หมายความว่าเงินจำนวนนี้เพียงพอหรือขาด ซึ่งยังมีกลไกอื่นๆ ที่ยังยืดหยุ่นและเพิ่มเม็ดเงินไปยังหน่วยงาน และด้วยกลไกทั้งหมด เป้าหมายคือนักศึกษา นักเรียน คนที่อยู่ในระบบกู้ยืม และคนที่จะเข้ามากู้ยืมใหม่จะต้องได้รับโอกาสในการศึกษาครบทุกราย
“ผมไม่เคยพูดว่า กยศ.ไม่เคยมีปัญหาในเรื่องสภาพคล่องใดๆ เพราะเรา ท่าน รู้กันดีว่าหลังจากมีการปรับแก้กฎหมาย มันมีผลเรื่องสภาพคล่องของทุนจริงๆ เพราะการปรับแก้กฎหมายมา สุดท้ายสถานการณ์ตอนนี้ ตัวเลือกสุดท้ายที่ผู้กู้ยืมจะจ่ายหนี้ คือ กยศ.” นายจุลพันธ์ กล่าว
นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า เราจะไม่ให้ตัวเลือกที่ง่าย คือการเติมเงินเข้าไปใน กยศ. และแก้ไขปัญหาให้อย่างกับดีดนิ้ว แต่เราต้องให้ กยศ.เอง ต้องปรับตัว คือต้องปรับเปลี่ยนกระบวน วิธีการทำงาน
จากนั้น นายปารมี ซึ่งอภิปรายในประเด็นนี้ ลุกขึ้นสอบถามนายจุลพันธ์ต่อว่า ในปีการศึกษา 2568 นักศึกษาในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพทั้งหมดจะโดนตัดออกจากเงื่อนไขที่เป็นความต้องการหลัก ไปเป็นในเงื่อนไขขาดแคลนทุนทรัพย์ร่วมกับกรณีการหักเงินผู้กู้ 3,000 บาท เหตุใดเพิ่งสั่งชะลอในวันอังคารที่ผ่านมา
ทำให้นายจุลพันธ์ ชี้แจงว่านักศึกษาที่เคยเข้าสู่กระบวนการกู้ยืมแล้ว เช่น เรียนในปี1หรือปี2 กระบวนการในการอุดหนุนงบประมาณต่อในปีถัดไปไม่มีปัญหาแน่นอน เพราะมีนโยบายชัดเจน ส่วนในบางส่วนที่ปรับเข้าออก ขอรับไปพูดคุยกับหน่วยงานก่อน ซึ่งเหตุผลการชะลอตัดเงินของผู้กู้ กยศ. วงเงิน 3000 บาท เป็นเพราะเพิ่งได้รับทราบข้อร้องเรียนจากประชาชนมายังกระทรวงการคลัง ซึ่งเมื่อรับทราบแล้วก็อาจใช้เวลาพิจารณาในข้อกฎหมาย โดยการประชุมกันหลายครั้ง เพื่อดำเนินการในเรื่องนี้ ตนยืนยันว่าจะมีกลไกในการแก้ไขปัญหานี้ต่อไป
ช่วงหนึ่งนายพริษฐ์ ขอใช้สิทธิ์พาดพิงว่า ข้อมูลการลดงบประมาณของ กยศ. ไม่ตรงกับที่ตนได้รับแจ้งมาจากผู้จัดการ กยศ. ที่ระบุว่าจากงบที่ถูกปรับจาก 21,000 ล้านบาท เหลือ 5,000 ล้านบาท ทำให้จากเดิมที่คาดว่าจะมีผู้กู้รายใหม่ได้ 182,555 คน จะกลายเป็นไม่มีผู้กู้รายใหม่เลย จึงฝากให้รัฐมนตรีคุยกับสำนักงบประมาณและ กยศ.
ต่อมา นายจุลพันธ์ ชี้แจงต่อว่า กยศ. เป็นกองทุนหมุนเวียน รอให้รุ่นพี่มาใช้คืน เพื่อส่งต่อทุนให้กับรุ่นน้อง ซึ่งหลักคิดคือจะต้องสามารถบริหารจัดการได้ โดยไม่เป็นภาระต่องบประมาณในทุกปี ซึ่งหากดำเนินการอย่างเช่นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา กฎหมายมีความไม่เป็นธรรมต่อผู้กู้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยปรับที่สูงมาก ซึ่ง กยศ. อยู่ได้เพราะมีเม็ดเงินจากเบี้ยปรับ และค่าดำเนินการไหลเข้ามาจำนวนมาก สามารถหมุนเวียนภายในโดยไม่ไม่เป็นภาระงบประมาณ ซึ่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยของบประมาณเพิ่มเติม แต่เมื่อมีการปรับแก้กฎหมายสภาพคล่อง เริ่มเป็นปัญหา 2 ปีมีการของบประมาณเพิ่มมากขึ้น ให้ กยศ. ไปบริหารจัดการก่อน แต่หากท้ายที่สุดต้องเติมงบประมาณรัฐบาลก็พร้อม
“เพราะฉะนั้นโจทย์ที่กระทรวงการคลังมอบหมาย กยศ.ไป คือต้องปรับเปลี่ยนตัวเองและปฏิรูปตัวเองเช่นเดียวกัน นั่นคือการปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อที่สามารถให้กระบวนการบริหารจัดการเม็ดเงิน โดยเฉพาะการเก็บชำระคืนจากผู้กู้รายเก่าสามารถมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้ กยศ. ลดภาระต่อภาครัฐที่ต้องเติมเงินทุกปีให้ได้มากที่สุด” นายจุลพันธ์ กล่าว
Advertisement