วันที่ 25 พ.ค. 2568 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในงานเสวนาในหัวข้อ การฟ้องคดีโดยรัฐ : การปิดปากขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน บรรยายว่า ตนเคยถูกฟ้องในคดีหมื่นประมาท ในการชุมนุมช่วงปี 2563 ถึง 2564 ตอนนั้นเราเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะนั้นสื่อมวลชนบางสำนักให้ข้อมูลว่าผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงจนเจ้าหน้าที่ต้องปราบด้วยรถฉีดน้ำและกระสุนยาง วันรุ่งขึ้นตนจึงขอร้องเรียกจรรยาบรรณสื่อในการทำหน้าที่ ถ้าสื่อยังเข้าข้างความรุนแรง บอกว่าผู้ชุมนุมสร้างสถานการณ์และเป็นเหตุผลที่รัฐต้องใช้ความรุนแรง และเหตุการณ์จะคล้ายกรณีคนเสื้อแดง
"คุณปฎิเสธไม่ได้ว่าสื่อเป็นตัวกลางในช่วงนั้น เราพูดตรงตรงว่า ไอซ์เองในช่วงเวลานั้น ยังไม่ได้เป็นแบบทุกวันนี้ เราก็ยอมรับว่าถูกสื่อหล่อหลอมให้ไปในทิศทางนั้นเหมือนกัน จริงๆเราด่าทุกสื่อ เเละเราเมนชั่นถึงสื่อสำนักหนึ่งว่าคุณคือตัวกลางในการทำลายระบอบประชาธิปไตย สร้างความเกลียดชัง ด่าคนเสื้อแดงทุกวัน ประโคมข่าวเท็จ ทำให้คนทั้งสังคมเข้าใจผิด หลักจากนั้น ก็โดนฟ้อง" น.ส.รักชนก กล่าว
น.ส.รักชนก กล่าวต่อว่า สุดท้ายคดีนั้นก็มีการสู้คดี ศาลก็ยกฟ้อง เพราะเป็นประโยชน์สาธารณะ ก่อนหน้านี้เราพูดในฐานะประชาชน แต่วันนี้สิ่งที่ตนพูด คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเป็นการพูดเพื่อสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของผู้ประกันตน และถ้าเราพูดเพื่อประโยชน์ของผู้ประกันตน มันมีเหตุผลอะไรที่จะต้องมาฟ้องเรา
"พูดกันตรงๆ นะรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง เขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เรื่องราวในประกันสังคม รัฐมนตรีล้วงลูกเข้าไปไม่ได้ แต่พอเราเอาข้อมูลต่างๆออกมาตีแผ่ออก มาขยายให้ประชาชนได้รู้ว่าความเละเทะ ความเน่า ความที่ประกันสังคมเป็นบุฟเฟ่ต์ ที่มีคนแวะเวียนเข้ามากิน หาส่วนต่างจากประกันสังคม เฮ้ย ถ้าคุณบอกว่าคุณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะรัฐมนตรีล้วงลูกไม่ได้ สิ่งที่คุณควรจะทำ คุณควรจะสนับสนุนเราในการที่ช่วยกันหาข้อมูล ช่วยกันขุดคุ้ยถูกหรือไม่ ว่าประกันสังคมมันเกิดอะไรขึ้น หรือข้อจำกัดที่คุณที่เป็นฝ่ายการเมืองได้เห็นแล้วว่าไม่สามารถทำให้ประกันสังคมดีขึ้นได้" น.ส. รักชนก กล่าว
น.ส.รักชนก กล่าวอย่างมีอารมณ์ ว่า สิ่งที่เราได้รับกลับกลายเป็นเราถูกฟ้อง ทั้งๆที่เราพูด เพื่อผลประโยชน์ของผู้ประกันตน แล้วหลายสิ่งหลายอย่างที่เราออกมา คนทั้งสังคมยังไม่เคยรู้เลยว่า "แ-่ง คนในสังคมทำปฏิทินทุกปี ปีละ 50-70 ล้าน แล้วคนทั้งสังคมก็เพิ่งรู้ด้วยว่า แ-่ง ยกเลิกไม่ได้ เป็น-่าอะไรไม่รู้ คือคุณทำทั้งประชาพิจารณ์ในอินเตอร์เน็ต ความคิดเห็นร้อยทั้งร้อยมันไม่มีใครอยากได้ปฏิทิน คุณบอกว่าคุณต้องทำโพล เพื่อรับฟังความเห็นของผู้ประกันตนและนายจ้าง ปรากฏว่าส่งเสียงออกมาตรงกันเลยว่าผู้ประกันตนและนายจ้างไม่มีใครอยากได้ปฏิทิน มันแปลว่าอะไร เหมือนแปลว่าฝั่งราชการจะเอาใช่หรือไม่ แล้วทำไมฝั่งราชการ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของเสียงบอร์ดถึงมีอานุภาพขนาดนี้ มันเป็นอะไร ประกันสังคมถึงยกเลิกปฏิทินไม่ได้ มันมีใครที่ยังต้องส่งลูกเรียนเพราะใช้เงินจากปฏิทินประกันสังคมอยู่หรือไม่ มีใครยังต้องเลี้ยงดูครอบครัว เลี้ยงดูอะไร ใช้เงินตรงนี้ในการที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่หรือไม่ เป็นสิ่งที่อยากให้ทุกคนช่วยกันตั้งคำถาม"
น.ส. รักชนก กล่าวว่า 10 ปีที่ผ่านมาไปดูมาแล้ว ปฏิทินผลิตมาแล้ว 50 ล้านฉบับ แต่คนทั้งสังคมบอกว่าไม่เคยเห็น มันเป็นไปได้อย่างไร พอเรื่องแดงขึ้นมา ก็เกิดคำถามว่าเป็นจริงหรือไม่ เพราะจำได้ตอนที่คุยเรื่องปฏิทิน โทรไปหาประกันสังคม 3 พื้นที่ พบว่าแต่ละที่บอกว่าได้น้อยมาก ที่ละไม่ถึง 1,000 ฉบับ แล้วไหนบอกว่าให้ที่ละเป็นหมื่น ยิ่งขุดยิ่งเจอ นอกจากนี้ยังมีเรื่องตึกสกายไนน์อีก สุดท้ายใครต้องรับผิดชอบ มันจะไม่มีใครต้องรับผิดชอบเลยหรือ มีตัวผู้ประกันตนที่ต้องควักเงินจ่ายหรือ ถ้าไม่สร้างบรรทัดฐานใหม่ในการลงทุน ไม่ถอดบทเรียน เดี๋ยวในอนาคต เเ-่งก็เกิดอีก 10 ตึก ตนเข้าใจว่าทุกวันนี้เตรียมกันไว้แล้วด้วย
"นี่คือถามหน่อยว่าคือมันมีเหตุผลอะไรวะที่ต้องถูกฟ้อง ทั้งๆ ที่การที่เราออกมาพูด เราสามารถปกป้องผลประโยชน์มหาศาล จะบอกให้นะว่าสิ่งที่เราต้องจ่าย ต้องมีค่ารถ ค่าทำมาหากิน ค่าเสียโอกาส แต่เวลาทุกนาที ที่เราต้องเสียไปกับการสู้คดี 1 วันจะต้องไปนั่งคุยกับทนาย 1 วันที่ต้องไปตามหาเอกสาร ไปนั่นไปนี่ เฮ้ย เรากำลังจะแหก กสทช.เพิ่ม มันก็ต้องเสียเวลาไป 1 วัน เรามาเปิดเผยประกันสังคมใช้รถใหม่ สุดท้ายต้องให้นอมินี เราเสียเวลาในการเตรียมข้อมูลเหล่านี้ เวลาเหล่านี้มันเสียเวลาไปทำประโยชน์อื่นๆให้กับประชาชน พูดจริงๆ นะ ในเคสทั่วไป ถ้าคุณทำตัวไม่ดี กักขฬะ แล้วคนวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต แล้วรับความจริงไม่ได้หรือ คนมีเงินคนมีอำนาจที่ทำตัวเซ็งกะบ๊วยห่วยแตก แล้วคนเขาวิจารณ์คุณ แล้วคุณก็ใช้อำนาจฐานะที่ดีกว่าไปฟ้องปิดปาก ทั้งที่น่าให้ตนด่าจริงๆ มันก็เป็นความไม่เท่าเทียมทางกฎหมาย" น.ส.รักชนก กล่าว
น.ส.รักชนก กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้คือความเหลื่อมล้ำ ใครต้องจัดการความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลใช่หรือไม่ ว่าจะเอาอย่างไรกับความเหลื่อมล้ำแบบนี้ ทุกคนตรงนี้ก็เรียกร้องเพื่อคนอื่น ทำไมรัฐบาลถึงไม่ช่วยเหลือ
ขณะที่นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน กล่าวว่า เรื่องความรู้สึก ตนอาจพูดไม่มันเท่า น.ส.รักชนก แต่ขอพูดในหลักการที่ควรจะเป็น ตนคิดว่าประชาชนทุกคนจำนวนมาก เห็นว่าสิ่งที่เราพูดเพื่ออะไร เราไม่ได้ตั้งคำถามถึงบุคคลธรรมดาหรือประชาชนทั่วไป แต่เราตั้งคำถามไปที่นักการเมือง ที่มีหน้าที่ในการบริหารประเทศ กองทุนประกันสังคมในขณะนั้นตามอำนาจ ในขณะที่เขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
นายสหัสวัต กล่าวว่า สส.เป็นอาชีพที่เป็นผู้ทรงเกียรติ เพราะเป็นอาชีพที่รับการแต่งตั้งจากประชาชน และเกียรติของคุณนั้นมาได้เพราะว่าคุณคือตัวแทนจากประชาชนไทยกากบาทเลือกตั้ง ในเมื่อคุณเป็นตัวแทนของประชาชนคุณต้องมีภาระรับผิดชอบมากกว่าคนปกติ คุณเป็นตัวแทนของอำนาจรัฐหรือแม้แต่คนในนิติบัญญัติ คุณต้องรับผิดชอบ ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าคนทั่วไป
นายสหัสวัต ชี้แจงว่า เรามองว่าที่ออกมาเปิดเผยเรื่องต่างๆ เพราะเป็นประโยชน์สาธารณะและวิจารณ์นักการเมือง ในฐานะตัวแทนของประชาชน คุณไม่ควรอะไรทั้งสิ้นที่จำกัดประชาชน ด้วยมูลเหตุจากการวิจารณ์การดำเนินงานในฐานะนักการเมือง เป็นหลักการที่ควรจะเป็น นักการเมืองไม่มีสิทธิ์ฟ้องประชาชนเมื่อถูกถามคำถามในการทำงาน ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวก็อีกเรื่อง พร้อมเปรียบเทียบถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของญี่ปุ่นที่ถูกกร่นด่าจนต้องลาออก ไม่ใช่รับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำ ไม่ใช่มาไล่ฟ้องประชาชน
"บ้านเราค่อนข้างจะเปิดโอกาสให้คนที่มีอำนาจต่อรองทางการเมืองหรือเศรษฐกิจสูงมีสิทธิในการเข้าถึงระบบยุติธรรมมากกว่าประชาชนทั่วไป คนรวยมีสิทธิเข้าถึงระบบยุติธรรมมากกว่าคนจน เพราะต้องวางเงิน คนจนจะมีปัญญาที่ไหนไปจ้างทนายฟ้องหมิ่นประมาท กลไกเหล่านี้ นำไปสู่การฟ้องปิดปากจำนวนมาก" นายสหัสวัต กล่าว
Advertisement