นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กรณีที่ นายสมชาย แสวงการ อดีต สว. เจ้าประจำ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่านายกรัฐมนตรีเดินทางไปอังกฤษไม่ได้พบกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษและไม่มีการเชิญสื่อมวลชนไปนั้น จริงๆ นายสมชาย ก็เคยเป็นสื่อมวลชนน่าจะทราบว่า ภารกิจรัฐบาลในต่างประเทศมีทั้งขนาดเล็กกลาง ใหญ่ จึงขอเรียนว่า ภารกิจบางอย่าง รัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องไปชุดใหญ่ เพราะมีสถานเอกอัครราชทูตอยู่แต่ละประเทศ ซึ่งมีทั้ง เอกอัครราชทูต ทูตพาณิชย์ ทูตทหาร มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายโสตฯ จำนวนมาก พอท่านนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงและไปภารกิจที่ใด ก็ส่งข่าวได้อย่างรวดเร็ว ให้กับสื่อมวลชนทราบตลอดไม่มีตกหล่น
"พอพาสื่อมวลชน เจ้าหน้าที่ไปชุดใหญ่ก็ค่อนแคะว่าเปลืองงบประมาณ พอไปน้อยก็ถามอีกว่า ทำไมไม่เอาสื่อไป พอนายกฯไปเชิญชวนนักธุรกิจมาลงทุนและโปรโมทสินค้าไทยก็อารมณ์เสียอีก ว่าทำไมไม่ได้พบกับผู้นำประเทศนั้น จนบางทีก็เอาใจคนวัยนี้ได้ยากจริงๆ หรือเป็นเพราะอารมณ์แห่งความเกลียดชังเลยบดบังทัศนียภาพความเจริญของประเทศไทยใช่หรือไม่"
นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยวนเวียนอยู่กับความขัดแย้ง อิจฉาตาร้อนแบบนี้มาเป็นสิบๆ ปี มีหลายปัจจัยที่เป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจของประเทศ การเดินทางครั้งนี้เป็นเรื่องของการไปส่งเสริมสินค้า และภาคธุรกิจของไทย นักธุรกิจไทยที่นั่นต่างขอบคุณและดีใจที่ผู้นำไทยให้ความสำคัญ แต่กลับมีบางคนที่เมืองไทยนั่งตาร้อน ท้้งนี้ ตนยังมั่นใจในคติพจน์แต่โบราณในการทำงานที่ว่า "ทำงานให้คนอิจฉา..ดีกว่านั่งอิจฉาคนทำงาน.."
นายจิรายุ กล่าวอีกว่า การเดินทางของนายกรัฐมนตรีแต่ละครั้งกลับมา ไม่เคยที่จะไม่มีอะไรติดมือมาสักครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ด้านการลงทุนในเวทึระดับโลก และความสามารถเชิญชวนนักลงทุนระดับโลก รวมทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่นำเสนอให้กับนานาอารยะประเทศมาลงทุนได้เป็นจำนวนมาก ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฝ่ายตรงข้ามบางคน ยังติดอารมณ์หงุดหงิด เพราะไม่ว่าคนในครอบครัวนี้ จะทำอะไรที่ดีต่อประเทศชาติมากแค่ไหนก็จะมองไม่เห็น แม้แต่ "องคุลี"
การเดินทางครั้งนี้ไปเพียงแค่ 2-3 วัน ตนเชื่อมั่นว่า นายกรัฐมนตรีมีประสบการณ์ในการเดินทางเชิญชวนนักลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยสามารถขยายในตลาดโลกได้มากขึ้น รวมทั้ง หากประเทศไทยได้มีโอกาสจัดการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบระดับโลก อย่างการจัดการแข่งขันรถยนต์สูตร 1 ฟอร์มูล่าวัน ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกมีเพียงไม่กี่ประเทศที่ได้สิทธิ์ในการจัดการแข่งขัน อย่างประเทศเพื่อนบ้านของเรา ที่เซปัง มาเลเซียและสิงคโปร์ก็จัดการแข่งขันมาแล้วเป็น 10 ปีโกยเงินเข้าประเทศไม่รู้กี่แสนล้านบาทแล้ว ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หากนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ "แพทองธาร ชินวัตร" จะทำให้บ้านเมืองเจริญ มีนักลงทุนมามาก ประชาชนกินดีอยู่ดีแล้ว อาจจะทำให้บุคคลบางกลุ่มตาร้อนบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา นายจิรายุกล่าว
Advertisement