"เรืองไกร" ส่งหนังสือร้อง กกต. ตรวจความเป็น รมต. ของ "พีระพันธุ์"
"เรืองไกร" ร้อง กกต. ตรวจความเป็น รมต. ของ "พีระพันธุ์" สิ้นสุดลงตาม รธน. ม.170(5) ประกอบ ม.187 เพราะเป็นกรรมการ 3 บริษัท หรือไม่
(5 พ.ค. 2568) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ กกต. ตรวจสอบนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ว่าความเป็นรัฐมนตรีมีเหตุสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (5) ประกอบมาตรา 187 วรรคหนึ่ง เพราะในระหว่างเป็นรัฐมนตรียังคงเป็นกรรมการอยู่ใน 3 บริษัท จึงอาจเข้าข่ายการเป็นลูกจ้างของบุคคลใด ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 วรรคหนึ่ง หรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายเรืองไกร กล่าวว่า ในหนังสือได้อ้างมาตราของ รธน. และพยานหลักฐานทางราชการที่เกี่ยวข้องไว้ดังนี้
ข้อ 1. รัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (5) และ มาตรา 187 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "มาตรา 170 ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อ (5) กระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 หรือมาตรา 187" "มาตรา 187 รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไปตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ และต้องไม่เป็นลูกจ้างของบุคคลใด"
ข้อ 2. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2567 มาจนถึงปัจจุบัน ในรัฐบาลที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
ข้อ 3. เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ทำสัญญาจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรี ไว้กับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน รวมจำนวน 4 บริษัท
ข้อ 4. เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 จากขอข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในช่วงระหว่างดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยังคงเป็นกรรมการอยู่ 3 บริษัท ก่อนที่จะมีการลาออกในภายหลัง จำนวน 2 บริษัท เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2567
ข้อ 5. จากเอกสารของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า อาจเห็นได้ว่า หลังจากที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2567 นั้น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ยังคงเป็นกรรมการบริษัททั้ง 3 แห่งอยู่ หลังจากเป็นรัฐมนตรีแล้ว ทั้งนี้เห็นได้จากการจดแจ้งชื่อ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ออกจากกรรมการบริษัท 2 แห่ง ตามคำขอลงวันที่ 30 ต.ค. 2567 และตามหนังสือรับรองของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2568 ก็ยังรับรองว่าบริษัทอีกแห่ง ยังคงมีกรรมการอยู่ 2 คน
ข้อ 6. จากการย้อนไปดูบัญชีทรัพย์สินฯของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้แจ้งว่า มารดาชื่อ นางโสภาพรรณ โดยไม่ได้ระบุอายุ ไม่ได้ระบุอาชีพ และทำเครื่องหมายขีดไว้ในช่อง ตาย ไว้ด้วย แต่ตามหนังสือรับรองของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2568 ยังปรากฏชื่อ นางโสภาพรรณ เป็นกรรมการของอยู่ด้วย จึงมีเหตุอันควรสงสัยและควรตรวจสอบเพิ่มเติมว่า นางโสภาพรรณ ที่เคยแจ้งว่า ตาย แล้ว กับ นางโสภาพรรณ ที่เป็นกรรมการของบริษัท อยู่เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2568 เป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่
ข้อ 7. จากข้อเท็จจริงที่กล่าวมาข้างต้น ประกอบกับเอกสารจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและ จาก ป.ป.ช. จึงมีเหตุอันควรขอให้ กกต. ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ตรวจสอบเพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและมีคำพิพากษาว่า กรณีที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เคยเป็นหรือยังคงเป็นกรรมการทั้ง 3 บริษัท ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หลังจากวันที่ 3 กันยายน 2567 นั้น จะเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 และเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (5) หรือไม่
ข้อ 8. ทั้งนี้ ขอให้นำข้อมูลการลาออกจากกรรมการบริษัทต่างๆ ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2567 ที่ได้แจ้งต่อ ป.ป.ช. ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ประกอบกับหนังสือที่ นร 0503/ว(ร) 157 ลงวันที่ 5 เมษายน 2560 มาประกอบการพิจารณาด้วย
Advertisement
