จากกรณี เมื่อวันที่ 20 ก.ย.64 ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีแม่ค้าออนไลน์ออกมาร้องเรียนขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดสืบสวนสอบสวนจังหวัดสงขลา ที่บุกเข้าไปตรวจค้นในบ้าน พร้อมยึดเงินสดจำนวน 10 ล้านบาท และทองรูปพรรณน้ำหนักอีกประมาณ 60 บาท จากนั้นมีการควบคุมตัวแม่ค้าออนไลน์ไปเจรจาที่เซฟเฮ้าส์แห่งหนึ่ง ก่อนจะมีการต่อรอง โดยอ้างว่าให้ประสานกับนายใหญ่เพื่อเคลียร์คดี ก่อนจะขอยึดเงินสด 5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการปล่อยตัวผู้เสียหาย
ภาพจากกล้องวงจรปิดได้เสียงเคาะประตูขณะตำรวจชุดสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา นำกำลังพร้อมหมายศาล เข้าตรวจค้นบ้านพักของ น.ส.กมลวรรณ ปิ่นทองพันธุ์ แม่ค้าออนไลน์เจ้าของเพจ "ซ้อปลา มาดามลูกเหนียง" โดยเจ้าหน้าที่เข้ามาพูดคุย ตรวจค้น ตามห้องต่าง ๆ และยึดของกลางเป็นกระเป๋า น้ำหอม โลชั่น สบู่ เงินสดจำนวน 10 ล้านบาท และทองรูปพรรณน้ำหนักประมาณ 60 บาท ใส่ถุงดำขนาดใหญ่ ก่อนคุมตัวไปยังเซฟเฮาส์
ล่าสุด วันที่ 21 ก.ย. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมายังบ้านเลขที่ 8 หมู่ 4 ต.ป่าขาด อ.สิงหนคร จ.สงขลา ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียว กำลังก่อสร้างต่อเติมบ้าน
น.ส.กลมวรรณ ปิ่นทองพันธุ์ ผู้เสียหาย ระบุว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 64 ตนเองไปกดเงินสดออกมาจำนวน 10 ล้านบาท โดยเมื่อช่วงกลางคืน ตนเองได้นำเงินสดออกมาถ่ายรูปกับคุณแม่ และโพสต์ลงเซฟบุ๊กของตัวเอง ต่อมาเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ก.ย.64 เวลาประมาณ 06.00 น. มีรถขับเข้ามา 2 คัน รถกระบะสีดำ รถเก๋งสีขาว มาจอดทางหน้าบ้าน และมีกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 6 คน ลงมาเคาะประตูหน้าบ้าน พร้อมพกอาวุธมาอีกด้วย กลุ่มคนดังกล่าวแต่งกายคล้ายตำรวจ สวมใส่เสื้อกั้ก ทั้งกางเกงขาสั้น และกางเกงขายาว
โดยเจ้าหน้าที่ได้ระบุว่าขอเข้าตรวจค้นบ้าน เนื่องจากมีสิ่งของผิดกฎหมายอยู่ภายในบ้าน ตนเองบริสุทธิ์ใจเปิดประตูบ้านให้ค้น แต่เมื่อตนเองจะนำโทรศัพท์มากดถ่ายทอดสดอัดวิดีโอนั้นก็ถูกเจ้าหน้าที่ยึดโทรศัพท์ โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า "ถ้าหากขัดขืนจะโดนนะ" ตนเองก็กลัวไม่กล้าทำอะไร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าไปตรวจสอบภายในห้องนอนและพบเงินสด จำนวน 6 ล้านบาท และในตู้เซฟ เมื่อตรวจสอบก็พบเงินสดอีก จำนวน 4 ล้านบาท รวมเป็น 10 ล้านบาท และทองรูปพรรณน้ำหนักประมาณ 60 บาท โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าเหตุที่ยึดเงินไปนั้นจะนำเงินไปทำการตรวจค้นตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินดังกล่าว โดยได้เก็บเงินใส่ถุงดำออกไป และไปตั้งวางไว้หน้าบ้าน
ต่อมาเดินเข้าไปตรวจสอบยังห้องไลฟ์ เจ้าหน้าที่ก็ได้ทำการยึดกระเป๋า โลชั่น น้ำหอม โดยระบุว่าเป็นของผิดกฎหมาย ไม่มีลิขสิทธิ์ และไม่มี ทะเบียน อย. และเดินไปตรวจสอบรถกระบะ ตนเองก็ยืนยันให้ตรวจค้นตามปกติ และของที่โดนยึดในห้องไลฟ์สดนั้น ถูกนำใส่ถุงดำและวางเอาไว้หลังกระบะ ส่วนเงินสดและทองคำนั้นถูกนำใส่ยังรถเก๋งของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ระบุว่าจะพาตนเอง แฟน และ น้องสาวไปยังเซฟเฮาส์เพื่อไปตรวจสอบ สอบถามถึงที่มาที่ไปของเงินสดดังกล่าว ยอมรับว่ากลัวมากเนื่องจากเห็นว่าในรถมีค้อนด้วย ตนเองกับน้องสาวขึ้นรถเก๋ง ส่วนแฟนหนุ่มขึ้นรถกระบะที่โดนยึดไป
เมื่อถึงเซฟเฮาส์ดังกล่าวเจ้าหน้าที่ก็ได้นำของทั้งหมดเงินสด และ ทองมาวางบนโต๊ะให้ตรวจสอบว่าครบหรือไม่ ซึ่งตรวจสอบแล้วก็พบว่าครบทุกอย่าง ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ได้มีการพูดว่า "ให้ไปต่อคนที่ไว้ใจได้สักหนึ่งคน ให้ไปเคลียร์กับนายใหญ่" พอเมื่อตนเองโทรหาคนคนกลางในการติดต่อ คนกลางระบุว่า "นายใหญ่จะยึดเงินทั้งหมดเลย เงิน 10 ล้าน และทอง 60 บาท และรถกระบะอีก 1 คัน " ตนเองก็สงสัยว่าทำอะไรผิด คนกลางก็เงียบและวางสายไป ต่อมาโทรมาอีกครั้ง ตนเองจึงขอร้องว่าให้ช่วยเหลือตนเอง ตนทำอะไรไม่ถูก ตนเองกลัวถูกทำร้ายร่างกาย และโทรกลับมาอีกครั้ง คนกลางระบุว่า "นายใหญ่ ขอเรียกเงินสด 5 ล้าน เพื่อปล่อยตัวไป" ตนเองยอมรับว่ากลัวมากไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ยินดียินยอมที่จะเสียเงินสด 5 ล้านบาทไป เพื่อให้จบเรื่อง
นายจตุพล ปิ่นทองพันธ์ สามีผู้เสียบหาย เล่าว่า พฤติกรรมของตำรวจชุดนี้ไม่น่าไว้ใจ และไม่แจ้งข้อมูลใด ๆ ทั้งที่ไม่ได้มีความผิดอะไร โดยเข้ามาตรวจค้นในบ้านนานเกือบ 1 ชั่วโมง และให้ตนเอง แฟน และน้องสาวแฟน เดินทางไปยังเซฟเฮาส์หลังดังกล่าว และได้นำเงิน 10 ล้านบาท และทอง 60 บาท มาวางไว้ให้ตรวจสอบ และให้เซ็นเอกสารบางอย่างที่เขาพิมพ์ออกมา ซึ่งยอมรับว่าตนเองไม่ได้ตรวจสอบและได้เซ็นไป และเจ้าหน้าที่นั้นได้บอกว่าให้โทรหาผู้ใหญ่หรือคนกลางคนรู้จักในการช่วยพูดเจรจา เมื่อตกลงทั้งหมด จะให้เงิน 5 ล้านบาท เขาก็มอบโทรศัพท์คืนและเงินสด จำนวน 5 ล้านบาท พร้อมทองหนัก 60 บาท กับรถยนต์ของตนเองที่โดนยึดมานั้น ในการขับรถออกจากเซฟเฮาส์เพื่อกลับบ้าน
โดยยืนยันว่าครอบครัวประกอบอาชีพสุจริต มีการทำประมง และขายสินค้าออนไลน์ เช่น ไลฟ์ขายเสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่มีการจดทะเบียนถูกต้อง และธุรกิจทองคำเงินผ่อน เป็นระยะเวลานานประมาณ 5 ปีแล้ว ไม่เคยมีประวัติที่เสียหาย หรือเงินไม่สุจริต เงินทุกบาทตรวจสอบได้ ตอนนี้ตนเองก็กังวลถึงความปลอดภัยในชีวิตของตนเองและครอบครัวเป็นอย่างมาก เรื่องเงิน 5 ล้านที่เหลือนั้น ยืนยันว่ายังคงอยากได้กลับคืนมาเช่นเดิม เนื่องจากเป็นเงินที่ตนเองและแฟนหามาด้วยนำพักน้ำแรงจากการทำงาน
ด้านนายกิตติธัช ชูโชติ ทนายความส่วนตัว ของน.ส.กลมวรรณ บอกว่า เหตุการณ์นี้จะต้องมีรับผิดชอบ เพราะการบุกจับในช่วงใกล้รุ่งแบบนี้ถือว่าไม่ควร เพราะถ้า น.ส.กลมวรรณ ผิดจริง ทางตำรวจก็ต้องแสดงหมายจับหรือมีการแจ้งต่อ น.ส.กลมวรรณ ว่ามาจับหรือมาตรวจสอบอะไร เพราะวันนั้นตำรวจที่เป็นหัวหน้าชุด แม้จะมีการนำหมายค้นมายื่น แต่ตำรวจนายดังกล่าวกลับไม่นำหมายค้นให้ น.ส.กลมวรรณ หรือคนในบ้านดู อีกทั้งระหว่างการตรวจค้น ทางเจ้าหน้าที่ได้ยึดโทรศัพท์มือถือคนในบ้านทุกคน เพราะเจ้าหน้าที่กลัวว่าจะถูกถ่ายภาพ ถ่ายคลิป หรือไลฟ์เฟซบุ๊กในขณะปฏิบัติหน้าที่
สิ่งที่ไม่ชอบมาพากลก็คือการตรวจยึดเงิน ทองคำ และสินค้าของซ้อลูกปลาเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำบันทึกการตรวจยึดหรือทำเอกสารลงรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษร อีกทั้งยังมีการอุ้มคนในบ้านไปสอบสวนแบบไม่ชอบมาพากล ทั้งนี้ ยืนยันว่า การพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตำรวจมาตรวจค้นบ้านลูกปลาจะมีเบาะแสมาจากเรื่องการฟอกเงิน หรือการทำธุรกิจสีเทาหรือไม่นั้น ก็ให้นำเรื่องนี้ไปว่ากันในชั้นศาล
ทีมข่าวเดินทางไปยังเซฟเฮาส์ ภายในซอยกาจญวานิช 69 ต.เขารูปช้าง อ.เมืองสงขลา ข.สงขลา เป็นบ้านชั้นเดียว ติดป้ายชุดปฏิบัติการ 1 กองกำกับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธร จังหวัดสงขลา (กก.สส.ภจ.สงขลา ) มีรถเก๋งยาริส สีขาว จอดอยู่
นายแดง (นามสมมติ) เพื่อนบ้าน ระบุว่า ตัวเองพักอาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้มานานหลายปี ตนเองก็ทราบดีว่าบ้านหลังนี้เป็นพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานปฏิบัติงาน ชาวบ้านภายในชุมชนต่างก็ทราบกันดี และไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งวุ่นวายกับบ้านหลังนี้ เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 64 ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ตนเองไม่ทราบเหตุการณ์ แต่ตนก็เห็นว่ามีรถกระบะคันสีดำมาจอดยังพื้นที่ตรงข้ามบ้านของตน ซึ่งเป็นหน้าบ้านหลังดังกล่าว แต่ตนเองก็ไม่เห็นว่ามีใครอยู่ภายในรถหรือมีข้าวของอะไรอยู่ภายในรถดังกล่าวหรือไม่ โดยเวลาประมาณ 08.00 น. ตนเองออกมาหน้าบ้านก็ไม่พบรถคันดังกล่าวแล้ว
ด้านพล.ต.ต.อาซาน จันทร์ศิริ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา กล่าวว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นได้มีการตรวจสอบและให้รายงานข้อเท็จจริงแล้ว โดยพบว่าก่อนที่จะเข้าไปทำการตรวจค้นมีการสืบทราบ และรับแจ้งจากพลเมืองดีว่าบ้านดังกล่าวมีพฤติการณ์ในเรื่องของการมีสิ่งของผิดกฎหมาย และมีเรื่องของแชร์ลูกโซ่ จึงมีการสืบสวนความจริง และมีการรวบรวมข้อมูล
กระทั่งนำไปสู่การยื่นเสนอต่อศาลเพื่อออกหมายค้น การเข้าตรวจค้นตำรวจได้แสดงตนตามขั้นตอน ซึ่งเจ้าของบ้านมีการลงนามรับทราบผลของการตรวจค้น พบเครื่องสำอาง ธนบัตร และทองคำรูปพรรณ จึงตรวจยึดทั้งหมดไปตรวจสอบถึงการได้มา และการดำเนินการเกี่ยวกับธุรกิจเครื่องสำอาง ก่อนนำตัว น.ส.กมลวรรณไปยังเซฟเฮาส์ ให้ น.ส.กมลวรรณเป็นผู้ถือไป มีพยานที่ไว้วางใจไปด้วย หลังตรวจสอบและสอบสวนไม่พบพิรุธ จึงมีการคืนของกลางทั้งหมด ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน และสามารถตรวจสอบได้ หลังจากนี้ จะสืบสวนเรื่องราวอย่างละเอียดอีกครั้ง และให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย
Advertisement