
วันที่ 28 ต.ค.2568 จากกรณีนายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมปฏิบัติการแก้ปัญหาอาชญากรไซเบอร์ แก๊งสแกมเมอร์
โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.จิรภพ ใช้กำลังในทุกภาคส่วน รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานภายนอกเพื่อมุ่งมั่นปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์อย่างจริงจัง โดยมีมาตรการเชิงรุกในการปราบปราม ไม่ว่าจะเป็นการสืบสวนสอบสวน การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปสู่การติดตามจับกุมผู้กระทำความผิด การพัฒนาและเชื่อมโยงข้อมูลระบบแจ้งความออนไลน์ การบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน รวมถึงการประสานงานร่วมกับฝ่ายต่างประเทศเพื่อกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ
ข้อมูลสถิติระหว่างวันที่ 1-26 ต.ค.68 พบว่ามีประชาชนได้รับความเสียหายแจ้งเหตุเข้ามาผ่านระบบ 1441 และ Thai Police Online รวม 29,232 เรื่อง มีมูลค่าความเสียหายรวม 1,853 ล้านบาท
โดย 3 อันดับประเภทคดีที่มีผู้เสียหายแจ้งมากที่สุด ได้แก่ คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ ที่ไม่มีลักษณะเป็นขบวนการ จำนวน 14,892 คดี, คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่นๆ จำนวน 4,822 คดี และคดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ จำนวน 2,680 คดี ซึ่งเมื่อพิจารณาตามมูลค่าความเสียหาย 3 ลำดับแรกที่มีมูลค่าสูงสุด ได้แก่ คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหายรวม 504 ล้านบาท, คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่นๆ 428 ล้านบาท และคดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 329 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า พล.ต.ท.จิรภพ ประสานข้อมูลจากประเทศเกาหลีใต้ว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย ซึ่งยอมรับว่ามีจริง แต่ฐานปฏิบัติการของแก๊งเหล่านี้ในประเทศไทยไม่ได้มีความใหญ่โตเหมือนกรณีในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเพียงการแฝงตัวตามที่พักอาศัย โดยผู้กระทำผิดใช้เส้นทางธรรมชาติในการลักลอบเข้ามาในไทย และก่ออาชญากรรม ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่ได้เป็นฐานปฏิบัติการหลัก แต่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการหลอกลวง
รายงานแจ้งว่า ในปฏิบัติการดังกล่าวพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตํารวจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5865/2568 ลงวันที่ 6 ต.ค.68 ซึ่งออกตามคำร้องของพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. ให้จับกุมผู้ต้องหา ซึ่งต้องหาว่าร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น
โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันเป็นอั้งยี่
โดยเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท.จับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าวได้ที่บ้านเช่าหลังหนึ่ง ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร
จากการตรวจสอบทราบว่า ผู้ต้องหาเป็นตำรวจ ยศ พ.ต.ท. ตำแหน่ง รองผกก.(สอบสวน) สน.แห่งหนึ่ง พื้นที่นครบาล โดยในขณะถูกจับกุม ผู้ต้องหาให้การยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง ไม่ขัดขืนการจับกุม และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี
ภายหลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหามายัง กก.2 บก.ปอท. เพื่อทำบันทึกจับกุม และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
สอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหารับว่า เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทบุคคลในเครือญาติที่รับเปิดบัญชีม้า โดยรับค่าจ้างเดือนละ 7 หลัก โดยมีญาติๆ ร่วมทำงานกับบริษัทดังกล่าวด้วย ภายหลังจับกุมผู้ต้องหาได้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวในชั้นศาล ซึ่งศาลอนุญาต ส่วนญาติอีกกลุ่มที่ถูกจับกุมไม่ได้รับการประกันตัว
Advertisement