วันที่ 13 มิ.ย. 68 จากกรณีพบศพชายถูกเผาที่ใต้ถุนบ้าน พื้นที่บ้านป่าจั่น ม.7 ต.เวียงกาหลง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ซึ่งหลังได้รับแจ้ง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวผู้ต้องสงสัย 3 คนที่ร่วมดื่มเหล้ากับผู้ตายก่อนเสียชีวิต ไปทำการสอบสวนเพิ่มเติมที่ สภ.แม่เจดีย์แล้ว แต่จนถึงล่าสุดทั้ง 3 คนยังไม่มีใครรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ
ที่บ้านหลังเกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านไม้ยกสูง แต่ชั้นบนถูกปิดเอาไว้ เจ้าของบ้านอยู่อาศัยแค่บริเวณชั้นล่างของบ้าน เมื่อไปถึงพบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปิดล้อมพื้นที่เกิดเหตุเอาไว้ โดยใต้ถุนบ้านมีร่องรอยกองไฟที่ถูกจุด มีฟืนวางไว้ใกล้กัน และแคร่ที่อยู่ใต้ถุน มีถุงแกง และกระติกข้าวสีแดงที่ลูกสาวของเจ้าของบ้านนำมาให้พ่อกิน วางเอาไว้อยู่ และที่โต๊ะหินอ่อนใกล้แคร่ไม้ ซึ่งห่างจากกองไฟประมาณ 1 เมตร พบเก้าอี้หินอ่อนที่อยู่ใกล้กับกองไฟ มีรอยถูกไฟไหม้
นายสันต์ณรงค์ วีระชาติ ผู้ใหญ่บ้านป่าจั่น ม.7 เปิดเผยว่า ช่วงเวลาประมาณตี4 เช้าวันนี้ นายเมือง อายุประมาณ 40 กว่าปี เจ้าของบ้านที่เกิดเหตุได้มาหาคนในสภาพเมาเหล้า และบอกกับตนว่า ตื่นนอนมาพบศพถูกเผาเสียชีวิตอยู่ใต้ถุนบ้าน ตนก็เลยบอกว่าตอนเช้าจะเข้าไปตรวจสอบให้ เพราะตอนเขามาบอกมันยังมืดอยู่ จนกระทั่งตอนเช้าประมาณ 7 โมงกว่า ตนจึงพากันเข้าไปดูที่เกิดเหตุ ก็พบศพคนตายถูกเผาที่บริเวณใต้ถุนบ้านจริง จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบ
เท่าที่ทราบเมื่อตอนค่ำที่ผ่านมา นายเมือง เจ้าของบ้านได้นั่งดื่มเหล้าที่ใต้ถุนบ้านตามปกติ โดยมีนายอ๊อด อายุประมาณ 40 ปี ซึ่งอยู่หมู่บ้านเดียวกัน และมีนายศักดิ์ (ผู้ตาย) และนายหล้า อายุประมาณ 40 กว่าปีเช่นกัน นั่งดื่มด้วยกันรวม 4 คน และตอนเช้านี้นายเมือง เจ้าของบ้านอ้างว่าตื่นนอนมาก็เจอศพถูกเผาไปแล้ว ซึ่งขณะไปตรวจสอบก็พบตัวนายเมืองอยู่ในที่เกิดเหตุ ส่วนนายอ๊อดและนายหล้า ซึ่งกลับบ้านไปแล้ว เจ้าหน้าที่ได้เรียกตัวมาที่เกิดเหตุในภายหลังอีก และต่อมาทางเจ้าหน้าที่ก็ควบคุมตัวทั้ง 3 ไปสอบสวนเพิ่มเติม เพราะเป็นผู้ที่อยู่กับผู้ตายก่อนเสียชีวิต แต่ล่าสุดยังอยู่ในระหว่างการสอบสวน ตนก็รอฟังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ
"ผู้ตายเป็นคนบ้านป่าแงะ ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านตนไป 2 หมู่บ้าน ทราบว่ามาเที่ยวกับเพื่อน ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นมีลูกบ้านคนไหนมาแจ้งว่ามีการทะเลาะวิวาทที่บ้านหลังดังกล่าว มาเห็นนายเมืองเจ้าของบ้านมาแจ้งตนเมื่อตอนเช้านี้เท่านั้น" นายสันต์ณรงค์ กล่าว
Advertisement