วันที่ 18 พ.ค. ตัวแทนกลุ่มผู้เสียหาย เข้าร้องเพจสายไหมต้องรอด หลังตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ เพจรับซื้อรถยนต์เพจหนึ่งในเฟซบุ๊ก เพื่อติดต่อซื้อรถยนต์ต่อจากผู้เสียหายที่ต้องการขายดาวน์รถยนต์ที่ผ่อนต่อกับไฟแนทซ์ไม่ไหว โดยระบุว่าจะมีการเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อและเจ้าของรถใหม่ รวมถึงจะดำเนินการผ่อนรถยนต์ต่อให้ครบ แต่ภายหลังกลับเชิ่ดรถหนี และถูกนำไปขายต่อทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
นายสมรัก เอกอิน อายุ 43 ปี 1 ในผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนประสบปัญหาด้านการเงิน จนทำให้ผ่อนรถต่อไม่ไหว จนได้รับการแนะนำมาจากเพื่อนของแฟน และมาพบกับเพจรับซื้อรถยนต์เพจดังกล่าว จึงได้โทรติดต่อเพื่อเสนอขายดาวน์รถกระบะฟอร์ด เรนเจอร์ 4 ประตู เกียร์ออโต้ ราคาประมาณ 1.2 ล้านบาท ซึ่งตนได้ส่งมา 24 งวด (2 ปี) เหลือผ่อนอีก 5 ปี และได้รับการติดต่อกลับมาว่าจะขอซื้อรถยนต์คนนี้ โดยได้มีการนัดหมายส่งต่อรถ ขณะเดียวกันได้รับเงินในการซื้อดาวน์ 30,000 บาท โดยทางคนที่มารับซื้อบอกตนว่าจะต้องใช้เวลา 3 เดือนในการดำเนินเรื่องเปลี่ยนชื่อสัญญาเช่าซื้อ และทำการผ่อนรถต่อให้ระหว่างดำเนินเรื่องให้ และตอนแรกมีการผ่อนต่อให้จริง 2 งวด แต่ภายหลังบริษัทไฟแนทซ์ติดต่อกลับมาว่าตนขาดการผ่อนส่งรถยนต์ ตนจึงพยายามติดต่อขอรถคืน แต่กลับถูกบ่ายเบี่ยง และไม่ได้ทำสัญญาใหม่ให้ตามที่ตกลง อีกทั้งยังถูกข่มขู่ว่า รู้จักกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
และแจ้งว่าการนำทรัพย์สินของไฟแนทซ์มาขายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย จึงทำอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งการนำรถกลับคืน ภายหลังตนได้พยายามสืบหาตัวตนที่แท้จริงของคนร้ายรายนี้ ทราบชื่อ นายพัฒน์ ทำหน้าที่ติดต่อรับซื้อรถ และ นางเก๋ ผู้ติดต่อทำธุรกรรม ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน อยู่ในพื้นที่ อ.ปากพลี จ.สมุทรปราการ และปัจจุบันยังคงใช้ชีวิตตามปกติ และยังทำการรับซื้อรถยนต์เหมือนเดิม รวมถึงพบว่ามีการนำรถยนต์พวกตนไปโพสต์ขายรถในลักษณะหลุดโรงจำนำ และทราบว่ามีการนำรถยนต์ไปขายต่อทั้งในไทยด้วยการสวมทะเบียนและประเทศเพื่อนบ้านด้วย
ต่อมาตนได้รวบรวมผู้เสียหายจากเพจดังกล่าว เบื้องต้นได้จำนวน 19 คน และได้แจ้งความดำเนินคดีกับกองบังคับการปราบปราม และมาร้องเรียนต่อเพจสายไหม เพื่อช่วยเหลือในเรื่องนี้ เพราะผู้เสียหายหลายคน โดนบังคับคดี ถูกยึดบ้าน บางคนหาที่ไปจำนองกับนายหน้า มีหนี้สินเพิ่ม บางคนคิดค่าตัวตาย จึงต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุรายนี้ ซึ่งทราบมาว่ามีหมายจับติดตัวหลายใบ และเชื่อว่ายังมีผู้เสียหายอีกหลายคน
ขณะที่เสียหายอีกคน (ผู้หญิง) ระบุว่า ผู้ก่อเหตุมีการอ้างรู้จักตำรวจสืบจังหวัดชลบุรี ทั้งข่มขู่หลังได้ติดตามทวงถามเรื่องรถว่าหากไปแจ้งความตำรวจก็ไม่รับแจ้งความ ทั้งนี้บุคคลนี้ไม่ยอมคืนและมีพฤติการณ์เดียวกันคืออ้างว่าจะเปลี่ยนสัญญาแต่ท้ายที่สุดก็ไม่เปลี่ยน ซึ่งขณะนี้เราไม่สามารถทำอะไรได้เพราะมีการเอาตำรวจมาข่มขู่และตนก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่รู้จักกฎหมาย พร้อมยืนยันว่ามีการไปแจ้งตำรวจแล้วสภ.เมืองชลบุรีแต่ไม่รับแจ้งความ เนื่องจากตำรวจแจ้งว่าต้องให้ไฟแนนซ์เป็นคนมาแจ้ง แต่ทางไฟแนนซ์ก็แจ้งว่าให้เราดำเนินการได้เลย นอกจากนี้ยังพบหลักฐานหลังจากที่มีการนำรถของตน ไปก็มีการไปโพสต์ขายว่าเป็นรถที่หลุดจำนำอีกด้วย
ด้านนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสายไหมต้องรอด บอกด้วยว่า ตนจะดำเนินการ ประสานไปยังสถานีตำรวจที่ผู้เสียหายไปแจ้งความดำเนินคดีไว้แล้ว เพื่อให้คดีมีความคืบหน้า พร้อมฝากเตือนไปยังประชาชน ที่ต้องการขายรถต่อในลักษณะการโอยลอยเป็นอันตราย ให้เลือกขายให้คนที่สามารถปิดไฟแนทซ์ และมีการไปโอนให้เสร็จสิ้นที่กรมขนส่งเลย อย่าไปเซ็นโอนลอย เพราะอาจจะเกิดปัญหาตามมาได้ ตราบใดที่ชื่อรถเป็นชื่อของท่าน อาจจะถูกไฟแนทซ์มาดำเนินคดีกับเราได้
Advertisement