จากกรณีเมื่อวันที่ 19 เม.ย. 63 เกิดเหตุทหารคลั่งยิงพ่อตาจนเสียชีวิตในหมู่บ้าน ซอย 5 ข้างโรงเรียนเทพศิรินทร์สมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ จากนั้นเจ้าหน้าที่ล้อมบ้านที่เกิดเหตุเพื่อจับกุม ก่อนที่พี่สาวของผู้ก่อเหตุจะเข้ามาเกลี้ยกล่อมจนยอมมอบตัว โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
โดยผู้เสียชีวิตคือนายประเสริฐ สิงห์เรือง อายุ 60 ปี พ่อตาของผู้ก่อเหตุ ส่วนผู้ก่อเหตุคือพลอาสาสมัครภูเบศร์ กลิ่นพราม ปมมาจากปัญหาภายในครอบครัว และลูกเขยเคยขู่พ่อตาไว้หลายรอบแล้ว
(อ่านเพิ่มเติม : เปิดนาทีระทึก ล้อมจับ 3 ชม. ทหารคลั่งยิงแสกหน้าพ่อตาดับคาบ้าน พยานช็อกหน้านิ่งก่อนฆ่า)
เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างนายประเสริฐ ส่งชันสูตรอย่างละเอียดที่นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ตรวจสอบร่างมีแผลถูกยิง 6 จุด บริเวณหน้าผาก 1 จุด ลำตัวอีก 5 จุด นอนราบเสียชีวิตภายในห้องนอน
วันที่ 20 เม.ย. 63 เจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องหาสอบสวนเพิ่มเติม พร้อมกับแจ้ง 4 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, พยายามฆ่า, พกพาอาวุธปืนฯ และทำให้เสียทรัพย์
ไทม์ไลน์เหตุการณ์ วันที่ 19 เม.ย. 63 เวลา 17.00 น. นายภูเบศร์เข้ามาก่อเหตุที่บ้านของพ่อตา เวลา 17.00 น. เข้าไปอยู่ในรถยนต์เก๋ง พยายามจะหลบหนี แต่ถูกเจ้าหน้าที่สกัด ยิงยางล้อรถยนต์แล้วปิดล้อมไว้
จากนั้น เวลา 19.15 น. นายภูเบศร์ยอมมอบตัวกับตำรวจ โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เวลา 21.00 น. เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานลงพื้นที่บ้านที่เกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบก่อนนำศพผู้เสียชีวิตส่งโรงพยาบาลเพื่อชันสูตรต่อไป
นางป่าน (นามสมมติ) ภรรยาผู้ก่อเหตุ กล่าวว่า ตนกับสามีมีปัญหากันมาเกือบ 2 ปีแล้ว ตั้งแต่ย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ ไปซื้อบ้านอยู่ด้วยกัน เนื่องจากมีความเครียดเกี่ยวกับการเงินและความรับผิดชอบที่มากขึ้น ประกอบกับสามีเป็นคนใจร้อน จึงมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง แต่ที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยทำร้ายร่างกายตนเอง
กระทั่ง 1 เดือนที่แล้ว มีปากเสียงกัน เรื่องที่สามีหาของไม่เจอ โดยอีกฝ่ายเกิดความโมโห เข้ามาบีบคอตน ด้วยความกลัวตนจึงขึ้นไปอยู่ในรถ แล้วล็อกประตูเอาไว้ ก่อนจะแจ้งให้ตำรวจเข้ามาช่วยเหลือ จากนั้นตนจึงขนเสื้อผ้าบางส่วน และพาลูกทั้ง 3 คนมาอยู่ที่บ้านพ่อ โดยตลอดระยะเวลา 1 เดือนไม่ได้ติดต่อกับสามีเลย แต่บอกพี่สาวสามีว่าจะไม่กลับไปอยู่กับสามีอีกแล้ว
กระทั่งวันเสาร์ที่ 18 เม.ย. 63 สามีโทรศัพท์มาชวนลูกให้ไปหาที่บ้าน ซึ่งลูกคนโตก็มาปรึกษาตน ตนก็บอกให้ไป เพื่อจะได้เก็บเสื้อผ้าของใช้ที่เหลือออกมาด้วย จนถึงช่วงเช้าวานนี้ 19 เม.ย. 63 ตนจึงพาลูกทั้ง 3 คนไปส่งที่บ้าน จนเวลา 16.00 น. ลูกโทรศัพท์มาบอกว่าจะกลับบ้านแล้ว ให้ตนไปรับด้วย โดยระหว่างขับรถไป ตนโทรศัพท์ไปหาลูกสาวคนโตอีกครั้ง เพราะน้ำเสียงของลูกดูสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ ลูกสาวตอบว่าไม่เป็นอะไร แต่ตนได้ยินเสียงสามีตะโกนออกมาว่า "บอกมันไปสิ กูจะไปยิงพ่อมัน" ซึ่งตนก็ตกใจมาก
เมื่อตนไปถึงบ้าน สามีก็ไม่ให้ลูกออกมา แต่ลูกคนโตสามารถออกมาได้ และเอากระเป๋าเสื้อผ้าออกมา 2 ใบ ส่วนตัวคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะต้องการง้อให้ตนลงไปเก็บของเอง จากนั้นตนให้ลูกคนโตไปรับน้องคนเล็ก แต่อีกฝ่ายไม่ให้ออกมา แต่ลูกคนกลางวัย 7 ขวบก็วิ่งออกมาได้ ลูกคนโตกับลูกคนกลางจึงได้ขึ้นรถ ระหว่างนั้นเห็นสามีเอาลูกสาวคนเล็กขึ้นนั่งบนรถตัวเอง ด้วยความกลัวอีกฝ่ายจะขับรถมาชน ตนจึงรีบขับรถออกมา และคอยมองกระจกหลัง
เมื่อมาถึงบ้านก็เรียกพ่อ และบอกว่านายภูเบศร์จะตามมา ไม่ทันขาดคำ อีกฝ่ายขับรถมาจอดข้างตน โดยนายภูเบศร์อุ้มลูกคนเล็กออกมานอกรถ ลูกสาวคนโตจึงอุ้มน้องมาขึ้นรถตน และล็อกรถเอาไว้ จากนั้นลูกสาวคนโตก็คอยห้ามพ่อ แต่ระหว่างนั้นพ่อของตนไม่ได้ล็อกประตูโรงรถข้างบ้าน ทำให้นายภูเบศร์เข้าไปในบ้านได้
โดยขณะเกิดเหตุ ในห้องมีแม่ พ่อ และลูกคนกลางอยู่ ระหว่างนั้นแม่พยายามกดลูกบิดผลักประตูเอาไว้ ซึ่งอีกฝ่ายยิงลูกบิดทำให้กระสุนเฉี่ยวนิ้วโป้งมือขวา เมื่อเข้าไปได้ แม่ตนก็วิ่งออกมาจากห้อง แต่นายภูเบศร์ยิงพ่อตนจนเสียชีวิต จากนั้น สามีก็เดินลงมาและตะโกนบอกตนว่า "ไปดูพ่อมึงดิ พ่อมึงตายแล้ว" ซึ่งตอนแรกตนคิดว่าอีกฝ่ายแค่ขู่
หลังจากสามีมีปืน ประมาณ 3 ปี อีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปเป็นคนที่ค่อนข้างอารมณ์ร้อน บ้าระห่ำมากขึ้น บางครั้งมีปัญหาก็ไปยืนยิงปืนหน้าบ้าน โดยเฉพาะหลังออกมาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ก็ทะเลาะกันบ่อยขึ้น นอกจากนี้ ตนคบกับนายภูเบศร์มากว่า 10 ปี ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ที่ผ่านมาอีกฝ่ายก็จะคอยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แต่เมื่อมาสร้างครอบครัวพักหลังเงินเริ่มไม่พอ จนพ่อตนเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความกดดันที่ไม่สามารถดูแลตนได้ดีพอ
บรรยากาศที่วัดหนามแดง จ.สมุทรปราการ ญาติและคนสนิทประกอบพิธีรดน้ำศพนายประเสริฐ สิงห์เรือง บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า
นางสี (นามสมมติ) ภรรยาผู้เสียชีวิต เล่าว่า ช่วงก่อนเกิดเหตุ ตนทำกับข้าวอยู่ในครัว ลูกสาวตะโกนให้สามีตนหยิบกุญแจบ้านออกมา เพราะนายภูเบศร์กำลังตามมาที่บ้าน จากนั้นนายภูเบศร์ก็ขับรถมาถึงที่บ้าน สามีตนได้ปิดประตูรอบบ้าน ระหว่างนั้นนายภูเบศร์ถือปืนมาเคาะรอบบ้าน ตนเห็นท่าไม่ดีจึงหลบอยู่ในครัว ก่อนที่สามีจะหยิบมีดทำครัวขึ้นไปหลบในห้องนอนพร้อมหลานสาวคนกลาง ตนจึงวิ่งตามขึ้นไปด้วย
จากนั้น นายภูเบศร์เข้ามาในห้องได้ ตนก็วิ่งหนีออกไป ได้ยินเสียงสามีร้องว่า "โอ้ย โอ้ย โอ้ย" สลับกับเสียงปืน ลูกสาวคนกลางซึ่งอยู่ในห้องด้วยร้องว่า "ป๊าอย่าทำ ป๊าอย่าทำ" ทั้งนี้ ปมปัญหาที่เกิดขึ้นคาดว่าน่าจะเริ่มมาตั้งแต่เรื่องการทำงาน ที่นายภูเบศร์เข้าไปรับราชการทหารได้ประมาณ 7 ปี เกิดความกดดันในตัวเองและมากดดันคนในบ้าน จากนั้นก็เริ่มมีปัญหาครอบครัวกับลูกสาวของตน
ก่อนหน้านี้ นายภูเบศร์อาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้านตนเป็นเวลา 10 ปี ช่วงแรกไม่มีปัญหา แต่ประมาณ 5 ปีที่แล้ว เจ้าตัวใช้ค้อนทุบประตูห้องนอนตนจนพัง
ด้าน นายพัด (นามสมมติ) เพื่อนบ้าน เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ เห็นรถเก๋งฟอร์ดเฟียสต้า สีขาว ของผู้ก่อเหตุ กับเก๋งสีดำของภรรยา ขับมาจอดคู่กันหน้าบ้าน จากนั้นมีการลดกระจกคุยกัน ก่อนที่นายภูเบศร์จะลงมาจากรถ พาลูกสาวคนโตลงจากรถ เด็กก็ร้องไห้ห้ามพ่อไม่ให้เข้าบ้าน แต่สุดท้ายนายภูเบศร์ก็เข้าไป จนลูกสาวต้องวิ่งไปปิดประตู และหลบอยู่ในบ้าน
จากนั้น นายภูเบศร์เดินกลับมาที่รถก่อนหยิบปืนจากในรถออกมา วิ่งเข้าไปในรั้วบ้าน พยายามจะเข้าไปในบ้านให้ได้ ส่วนตนก็รีบวิ่งเข้าไปหลบในบ้าน ไม่ถึง 5 นาทีได้ยินเสียงคล้ายของแตกลักษณะเป็นการทุบของในบ้าน และมีเสียงปืนตามมา ก่อนจะมีเสียงผู้หญิงร้องว่า "พ่อตายแล้ว" ซึ่งขณะนั้นตนหลบอยู่ในบ้าน ไม่กล้าออกมา กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาเคลียร์สถานการณ์
Advertisement