สุดเศร้า หนุ่มทีวีช่องดังโหมงานหนัก เสียชีวิตคาโต๊ะทำงาน (คลิป)

จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก "จอดับ" เปิดเรื่องหนุ่มใหญ่ฝ่ายจัดทำผังรายการทีวี วัย 40 กว่า เสียชีวิตบนโต๊ะทำงาน หลังตรากตรำงานหนัก เจ้าตัวเคยเปรย "คงต้องให้ผมตายก่อนละมั้ง เขาถึงจะหาคนมาช่วยงาน ใครว่าทำงานจนตายไม่มีจริง" ข้อมูลเพิ่มเติม โพสต์ต่อว่า "คงต้องรอให้ผมตายก่อนละมั้ง"

สิ่งที่เบิร์ดต้องมีติดตัวตลอดเวลา คือ ถุงใส่ยา แต่โดยรวมเขาก็แข็งแรงดี ไม่ถึงขนาดล้มหมอนนอนเสื่อ ก็เหมือนชายวัย 40 กว่าๆ ทั่วไป ที่มีปัญหาเรื่องความดัน เรื่องน้ำตาล เป็นธรรมดา ถ้าวงจรชีวิตดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น มีสัดส่วนที่เหมาะสม ทั้งการทำงาน การกิน และการพักผ่อน นาฬิกาชีวิตของเบิร์ดก็คงจะไม่หยุดเดินเร็วขนาดนี้ คงไม่ถึงขั้นฟุบไปกับโต๊ะ หยุดหายใจขณะยังทำงาน

การเป็นเจ้าหน้าที่จัดทำผังรายการของสถานีโทรทัศน์ บางคนอาจคิดภาพไม่ออกว่ามันจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน เอาตรงๆ นะ ไม่มีงานไหนที่หนักเกินไปหรอก ถ้าผู้บริหารวางโครงสร้างองค์กรอย่างเหมาะสม ไม่ใช่แบบที่เบิร์ดต้องเจอ ถามว่า แล้วผู้ใหญ่ไม่เคยหาคนมาช่วยงานเบิร์ดเลยเหรอ หึหึ ก็พอจะมีบ้างแหละ แต่ส่วนใหญ่เป็นการโยกคนจากแผนกอื่นมา เพราะต้องการจะกดดันให้คนนั้นลาออก เลยเอามาดองไว้ที่แผนกนี้ ไม่ใช่การส่งคนมาช่วยเหลือให้งานมีประสิทธิภาพ

คนที่ทำงานในองค์กรนี้มานานจะรู้ว่าเบิร์ดเป็นคนเงียบ ๆ สุภาพเรียบร้อย ไม่ค่อยมีปากมีเสียง อาจเพราะบุคลิกของเขาที่เป็นแบบนี้ เลยทำให้เบื้องบนไม่เคยสนใจใยดี สักแต่ว่าโยนงานให้ทำโครมๆๆ เพื่อนๆ ที่เคยร่วมงานกับเบิร์ดแทบทุกคน ล้วนแต่เคยได้ยินเบิร์ดพูดเชิงตัดพ้อว่า "คงต้องให้ผมตายก่อนละมั้ง เขาถึงจะหาคนมาช่วยงาน"

ทีมข่าวได้ข้อมูลเพิ่มเติมมาว่า จุดที่นายศราวุฒิเสียชีวิตนั้นเป็นโต๊ะทำงานของเจ้าตัวเอง อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างลับตาคน ในวันเสาร์ที่นายศราวุฒิเสียชีวิต มีพนักงานที่เข้ามาทำงานน้อย เนื่องจากมีการแบ่งคนทำงานครึ่งทีม ผู้มาพบศพ ทราบว่าเป็นแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาด เจอนายศราวุฒิฟุบนอนหลับอยู่ ช่วงเวลาตี 5 ของวันเสาร์ที่ 4 ก.ค. 66 แต่ขณะนั้นแม่บ้านคิดว่านายศราวุฒินอนหลับเฉย ๆ จึงไม่ได้เรียก

กระทั่งเวลาประมาณ 12.00 น. แม่บ้านคนเดิมได้เข้ามาดูดฝุ่น เห็นความผิดปกติ เพราะนายศราวุฒิยังนอนอยู่ท่าเดิม จึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ จนพบว่านายศราวุฒิตัวแข็งแล้ว จึงได้เรียกเจ้าหน้าที่ รปภ. ของตึกไปดู และเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาถึง ตรวจสอบสภาพศพจึงพบว่า นายศราวุฒิเสียชีวิตแล้ว มีเลือดไหลออกจากจมูก หลังจากนั้นครอบครัวมาทราบข่าวว่านายศราวุฒิเสียชีวิตแล้ว เพื่อนพนักงาน โทรศัพท์มาหาคุณแม่ของนายศราวุฒิ ช่วง 14.00 น.

ล่าสุดวันที่ 6 ก.พ. 66 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปที่วัดมหาวงษ์ ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ สถานที่บำเพ็ญกุศลศพของ
นายศราวุติ ศรีสวัสดิ์ เบิร์ด อายุ 44 ปี พนักงานฝ่ายจัดทำผังรายการโทรศัพท์ ของสถานีโทรทัศน์ชื่อดัง บรรยากาศช่วงเย็นที่ผ่านมา บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา มีเพียงครอบครัวและญาติ ๆ และเพื่อนที่ทำงานบางส่วน เดินทางมาเคารพศพ และจัดสถานที่ก่อนมีการสวดพระอภิธรรมศพช่วงค่ำวันนี้

นางวิไล ศรีสวัสดิ์ อายุ 75 ปี แม่ของผู้เสียชีวิต เล่าว่าเบิร์ดเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่องานตั้งแต่เด็ก และตั้งใจเรียนหนังสือ เพื่ออยากให้พ่อกับแม่และครอบครัวสบาย ทุกวันหยุดในวันอาทิตย์ ไม่ว่าเบิร์ดจะเหนื่อยจากงานขนาดไหน ลากงานดึก ไม่ได้นอนขนาดไหน ก็จะขับรถพาพ่อกับแม่ไปไหว้พระทำบุญเกือบทุกอาทิตย์ และมักจะพาพ่อที่ป่วยไปโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ

แต่ช่วงพักหลัง เดือนธันวาคม 2565 เบิร์ดเพิ่งมาทราบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคเบาหวานและความดัน และตาเริ่มพร่ามัว มองอะไรไม่ค่อยชัดเจน ตนเองเคยเตือนพูดเตือนลูกชายว่า "ถ้าป่วยไปทำงานไม่ไหว ก็ลาพักผ่อนบ้างก็ได้ อย่าเพิ่งไปทำงานหนัก" แต่ลูกชายก็มักจะบอกว่า "มันเป็นงานที่ผมต้องรับผิดชอบ" และมักจะไปทำงานที่บริษัทตลอด ลูกบอกเสมอว่าทำงานที่บ้านไม่ถนัดเท่าไปทำที่ทำงาน ทั้งที่ตัวเองก็ป่วย

ที่ผ่านมาเบิร์ดไม่มีแฟน และตั้งใจหาเงิน ทำงานหนักแทบไม่มีเวลาพักผ่อน กลับบ้าน ตี 2-3 เกือบทุกวัน ซึ่งเงินเดือนที่ได้เกือบทั้งหมด เบิร์ดจะเอาไปให้แม่กับพ่อเกือบทั้งหมด ให้เงินเดือนละไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท การจากไปของเบิร์ดนั้นสร้างความเสียใจให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก และที่น่าเศร้าไปกว่านั้น วันที่เบิร์ดเสียชีวิต พ่อของเบิร์ดก็ป่วยหนักอยู่โรงพยาบาลด้วย เมื่อทราบเรื่องทุกคนต่างทำใจไม่ได้

วันสุดท้ายก่อนที่ลูกชายตนเองจะเสียชีวิต ลูกชายกลับบ้านมาหาตนเอง และบ่นว่าปวดหลังมาก และตามองไม่ค่อยชัด ตนเองยังเอายาหม่องทาหลังให้ลูกชาย และนวดหลังให้ลูกอยู่เลย ถามลูกว่า "ไหวไหม ดีขึ้นไหม" ลูกชายก็ตอบว่า "ดีขึ้นแล้วแม่" ก่อนที่อีกวันลูกชายจะเดินทางไปทำงานต่อ

ตนเองอยากให้เรื่องราวของเบิร์ดลูกชาย เป็นอุทาหรณ์ให้กับทุกคนที่ทำงานหนัก หรือทำเพื่อองค์กร และอยากฝากไปถึงหัวหน้างานทุกคนที่ควรเห็นใจลูกน้องด้วย ขอให้เบิร์ดเป็นคนสุดท้ายที่เสียชีวิตจากการทำงานหนัก ตนเองไม่อยากไปถือโทษโกรธใคร เพราะลูกชายก็ป่วยด้วย ไม่ได้ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตของลูก และอยากให้ลูกชายหลับให้สบาย

นางสาวนก (นามสมมติ) พี่สาวของผู้เสียชีวิต เปิดใจว่า ตนเองนั้นที่ผ่านมารับรู้มาตลอดว่าน้องชายทำงานหนักมาก ในทุก ๆ วัน น้องชายจะเลิกงานกลับบ้าน ตี 2-3 หรือ บางวันก็กลับบ้านตอนเช้าในทุกวัน เพื่ออยู่เคลียร์งานที่บริษัทให้เสร็จ และในวันหยุดของน้องชายก็มักจะมีโทรศัพท์จากที่ทำงาน โทรศัพท์คอยมาสอบถามเรื่องงานอยู่ตลอด เหมือนกับน้องชายทำงานในทุกวัน ครั้งหนึ่งตนเองทนไม่ไหว เคยถามกับน้องชายไปว่า "หากมึงไม่อยู่สักคน บริษัทมันจะเจ๊งเลยหรอวะ" แต่น้องชายก็ได้แต่เงียบ และพูดว่า "มันเป็นงานที่ต้องรับผิดชอบ" ซึ่งตนเองก็ได้แต่ให้กำลังใจน้องชาย

กระทั่งพักหลังน้องชายป่วยเป็นโรคเบาหวานและความดัน เคยพาไปหาหมอ ระหว่างทางน้องชายก็อ้วกอาเจียนออกมา แต่หลังจากอาการดีขึ้น แต่ยังไม่หายสนิท น้องชายก็กลับไปทำงานอีก ซึ่งหากย้อนกลับไปได้ ตนน่าจะห้ามน้องชายมากกว่านี้ หลังเกิดเหตุ ตนเองได้เห็นสภาพศพของน้องชายนอนเสียชีวิต ฟุบตัวไปนอนกับเก้าอี้ใกล้โต๊ะทำงานของตัวเอง กู้ภัยที่เข้าไปในที่เกิดเหตุเปิดภาพและส่งให้ดู ตนเองทั้งเสียใจและสงสารน้องชายมาก เพราะจะเห็นว่าบนโต๊ะทำงานของน้อง มีทั้งข้าวกล่อง ที่น้องต้องกินอยู่หน้าโต๊ะคอมเกือบตลอด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ต้องวางเตรียมพร้อมเวลาหิว รวมไปถึงยารักษาที่ต้องใส่ถุงวางไว้ใกล้ตัวตลอดเวลา

ซึ่งตนเองอยากฝากให้เรื่องราวของน้องชายเป็นอุทาหรณ์ว่า การทำงานหนักทำให้คนเสียชีวิตได้จริง และควรห่วงสุขภาพตัวเองให้มาก ไม่ใช่จะทุ่มเทให้กับงานเกินเหตุ ส่วนหัวหน้างาน ตนเองก็อยากให้เห็นใจลูกน้องกันด้วย แต่เรื่องนี้ตนเองไม่อยากจะไปโทษใคร เพราะน้องชายก็ป่วยด้วย หลังเกิดเหตุหัวหน้างานของน้องและบริษัทได้มาช่วยเรื่องการจัดงานศพ บอกว่าจะดูแลเยียวยาค่าทำพิธีทุกอย่างให้เบื้องต้น ตนเองก็ขอบคุณมาก ส่วนเพื่อนที่ทำงานก็มาร่วมแสดงความเสียใจกันเยอะ ตนเองก็ดีใจที่มีคนรักน้องชายจำนวนมาก

ล่าสุด นายธีรนัย จารุวัสตร์ อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงรายงานข่าวข้างต้นว่า ตนขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของสื่อมวลชนคนดังกล่าว และมีข้อเรียกร้องต่อกรณีที่เกิดขึ้นดังต่อไปนี้

1.ขอให้สำนักข่าวต้นสังกัดของสื่อมวลชนที่เสียชีวิต เยียวยาครอบครัวของผู้เสียชีวิตตามสิทธิ์ที่พึงได้รับ พร้อมกับสอบสวนที่มาของเหตุดังกล่าว และออกมาตรการป้องกันมิให้เกิดเหตุในลักษณะเดียวกันขึ้นอีก

2.ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกระทรวงแรงงาน ดำเนินการตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้นเพื่อหาข้อสรุปว่า กระบวนการทำงานของสำนักข่าวดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายแรงงานและหลักปฏิบัติที่เหมาะสมหรือไม่

นายธีรนัยกล่าวเพิ่มเติมว่า "ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมสื่อยังมีวัฒนธรรมการทำงานที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมายแรงงานหลายเรื่องๆ โดยเฉพาะในวงการดิจิตัลทีวีที่มีการแข่งขันกันสูง ไม่ว่าจะเป็น การทำงานล่วงเวลาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน การอยู่โยงเข้าเวรติดต่อกันโดยที่ผู้ปฏิบัติงานไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ การไม่ให้สิทธิ์พนักงานได้ใช้วันหยุดและวันลาตามสมควร เป็นต้น"

"เรื่องนี้เป็นปัญหาที่คนทำงานในวงการสื่อมวลชนทราบกันมาตลอด แต่ยังคงเกิดขึ้นอยู่ตลอด ประเด็นนี้จึงสมควรได้รับความสนใจและแก้ไขเป็นรูปธรรมในเร็ววัน" ทั้งนี้ ผู้ปฏิบัติงานสื่อมวลชนใด ๆ ที่ต้องการร้องเรียนการปฏิบัติงานที่ไม่เป็นธรรม หรือการกระทำใด ๆ ของนายจ้างที่ละเมิดกฎหมายแรงงาน สามารถติดต่อสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้