จากกรณี ผู้ใช้บัญชี TikTok รายหนึ่ง ได้โพสต์คลิปวิดีโอพร้อมระบุข้อความว่า "เคยเห็นแต่เจ้าหนี้ทำร้ายร่างกายลูกหนี้ วันนี้ลูกหนี้ตีเจ้าหนี้ แค่เพราะไปถามเอาเงิน" โดยในคลิปนั้นเล่าว่า ตัวเธอและลูกหนี้เคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน กระทั่งมีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง เพื่อนมายืมเงินเธอไป 1 แสน 5 หมื่นบาท เพื่อเช่าคอนโดฯ อยู่ที่กรุงเทพฯ หายไป 4 เดือน เพิ่งกลับบ้านปีใหม่ เลยไปถามเพื่อเอาเงินคืน แต่กลับบอกว่าไม่มี เพราะถูกเพื่อนอีกคนโกงเงินไป และได้ถูกเพื่อนทำร้ายร่างกาย พร้อมกับไล่ออกจากบ้าน กระชากผม และจับหัวตนโขกกับโต๊ะไม้ พร้อมทิ้งท้ายประโยคเด็ด “ถึงมาก้มลงกราบตีน ก็จะไม่มีทางคืนให้อย่างแน่นอน"
ล่าสุดวันที่ 3 ม.ค. 66 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปพบกับเจ้าหนี้ ที่เป็นผู้เสียหาย คือ น.ส.ศิริญญา ทิวะสิงห์ อายุ 37 ปี โดยมีอาชีพทำขนมเปี๊ยะ เปิดใจว่า เมื่อ 4 เดือนที่แล้ว น.ส.รสา ทัศน์สมบัติ อายุ 37 ปี ได้มายืมเงินกับตนเองเพื่อไปหมุนทำธุรกิจที่กรุงเทพฯ ตนเองเห็นว่าเพื่อนลำบากและเดือดร้อนด้านเงิน จึงโอนเงินให้ยืมไปหลายครั้งด้วยความสงสาร รวมเป็นจำนวน 150,000 บาท
เงินที่ให้เพื่อนยืมไปนั้น เป็นเงินที่ตนเองหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงจากการขายขนมเปี๊ยะ เก็บหอมรอมริบมานาน เพื่อจะนำเงินจำนวนนี้ไปไถ่บ้านคืน ซึ่งเคยได้ขายฝากไว้ในช่วงที่ธุรกิจล้ม แต่เมื่อเพื่อนทักมาขอกู้ยืมก็ยอมให้ไป เพราะเพื่อนสัญญาว่า จะคืนให้ตรงเวลา อีกทั้งเมื่อทวงเงิน เพื่อนก็จะคืนให้ทุกครั้ง ไมาเคยผิดนัด ซึ่งตนก็ให้ยืมด้วยความสงสาร และไว้ใจที่คืนเงินสม่ำเสมอ
ซึ่งในช่วงเดือน ส.ค. 65 ที่ผ่านมา ตนได้ทวงถามยอดหนี้ที่ยืมไปเหลืออยู่จำนวน 150,000 บาทกับเพื่อน เพื่อนอ้างว่าติดปัญหา เพราะถูกคนโกงเงินไปเหมือนกัน ทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ และหมุนไม่ทัน และบอกให้รอไปก่อน แต่ไม่บอกว่า ระยะเวลานานเท่าไหร่ และเมื่อทักไปโทรศัพท์ไปหา ก็ไม่ตอบ ติดต่อไม่ได้ กระทั่งเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 66 ที่ผ่านมา เห็นว่าเพื่อนคนดังกล่าวเดินทางกลับมาบ้านที่ จ.กาฬสินธุ์ จึงชวนเพื่อนสนิทอีกคนไปทวงหนี้
แต่เมื่อเดินทางไปถึงบ้านเพื่อนที่อาศัยอยู่กับสามี ก็ได้ทวงถามหนี้ เอาโทรศัพท์ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน แต่เพื่อนซึ่งเป็นลูกหนี้ กลับบอกว่า "ไม่มี ไม่จ่าย ไม่ให้ ถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องเอา" ทั้งยังขับไล่ตนเองออกจากบ้าน แต่ตนเองไม่ยอมออก เพราะมองว่ายังไม่ได้เงิน และได้พูดกับเพื่อนว่า "ทำไมเวลาขอยืมเงิน ไม่เห็นพูดแบบนี้เลย" ทำให้เพื่อนโมโห จึงปรี่เข้ามาทำร้ายร่างกายด้วยการต่อย กระชากผม จับหัวตนโขกกับโต๊ะไม้ กล่าวหาว่าตนเป็นฝ่ายบุกรุก ก่อนจะสั่งให้สามีถ่ายคลิปเก็บไว้
สิ่งที่ตนเองเสียใจที่สุดคือ เพื่อนด่าว่า "ถึงมาก้มลงกราบตีน ก็จะไม่มีทางคืนให้อย่างแน่นอน" ซึ่งตนเองไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ตอนนี้เดือดร้อนมาก อยากได้เงินที่เพื่อนยืมไปคืน นอกจากนี้ ยังรู้มาอีกว่าเพื่อนของตนเองหลังจากได้เงินที่ตนเองนำไปแล้ว ก็ยังใช้ชีวิตกินหรูอยู่สบาย ใช้ของแบรนด์เนม ซึ่งแตกต่างกับตัวเองที่ให้เงินยืมไป ที่ต้องมารับภาระเดือดร้อน ตอนนี้บ้านจะถูกยึดแล้วด้วย
นางสาวหวาน (นามสมมติ) ลูกหนี้ ให้ข้อมูลว่า ตนเองยอมรับว่าเป็นหนี้นางศิรินญาจริง รวมเป็นเงิน 1 แสนบาท ไม่ใช่ 1.5 แสนบาท อย่างที่อีกฝ่ายอ้าง โดยนางสาวศิรินญาเป็นคนคิดดอกเบี้ยก่อนให้ยืมร้อยละ 30 บาท ซึ่งตนเองก็ไม่มีปัญหา เพราะตอนนั้นอยากได้เงินมาหมุนทำธุรกิจ ตนเองต่อมากลับถูกคนที่ทำธุรกิจด้วยกันโกงเงินไปกว่า 4 แสนบาท ทำให้เดือดร้อนหมุนเงินไม่ทัน และได้ขอเลื่อนจ่ายหนี้ให้กับนางสาวศิรินญา เจ้าหนี้ ซึ่งเป็นเพื่อนกัน แต่นางสาวศิรินญาไม่ยอม และบังคับให้ตนเองหาเงินมาคืนให้ได้ และโพสต์ประจานต่าง ๆ นานา ทำให้ตนเองเสียชื่อเสียง นอกจากนี้ตนเองยังถูกแจ้งความฟ้องร้อง
กระทั่ง 1 ม.ค. 65 นางสาวศิรินญา บุกมาถึงบ้าน เข้ามาในบ้าน โดยไม่ได้รับอนุญาต และเอาโทรศัพท์ถ่ายคลิปจะทวงเงินเอาให้ได้ ทำให้ตนเองโมโห เกิดบันดาลโทสะ จึงได้พยายามไล่นางสาวศิรินญาออกจากบ้าน โดยปฏิเสธไม่ได้ต่อยหรือทำร้ายอีกฝ่าย อย่างที่ถูกกล่าวหา ตนเองเพียงแค่เอามือจับผมลากให้อีกฝ่ายออกไปจากบ้านเท่านั้น เพราะอีกฝ่ายบุกรุกเข้ามาในบ้านตนก่อน
ส่วนเงินก็ไม่จ่าย เพราะมองว่าอีกฝ่ายโพสต์ประจาน และทำให้ตนเองเสียหายไปแล้ว และอยู่ระหว่างการฟ้องร้อง ซึ่งตนเองจะจ่ายเงินตามที่ศาลสั่งเท่านั้น นอกจากนี้ ตนเองไม่ได้เป็นเพื่อนรักของนางสาวศิรินญาอย่างที่อีกฝ่ายอ้าง แต่ยอมรับว่าคบกันเป็นเพื่อน เคยเรียนห้องเดียวกัน รู้จักกันมากว่า 22 ปีแล้ว แต่ไม่ได้รักกันขนาดนั้น และจะขอไม่จ่ายเงินที่ยืมไปคืน เพราะอีกฝ่ายทำเกินกว่าเหตุไปแล้ว เอาตนเองไปประจานจนเสียหาย
ชาวบ้านในพื้นที่ ให้ข้อมูลสั้น ๆ ว่า นางสาวหวานทำงานอยู่กรุงเทพฯ นาน ๆ จะกลับมาที่บ้าน ส่วนนิสัยส่วนตัวไม่ค่อยสนิท เพราะนางสาวหวานเป็นคนไม่ค่อยพูดจา สุงสิงกับชาวบ้านในพื้นที่เท่าไร ส่วนเรื่องเงินที่นางสาวหวานไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมา ตนเองก็ไม่ทราบ เพราะเจ้าตัวก็ไม่เคยมายืมเงินชาวบ้านในพื้นที่ และต่างคนต่างอยู่
Advertisement