จากกรณีผัวเมียพ่อค้าตลาดนัดชาว อ.ปากท่อ วอนขอ "หมอปลา มือปราบสัมภเวสี" ช่วยเหลือ หลังลูกชายวัย 14 ปี ช่วง 1 ปีที่ผ่านมามีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จากเด็กเรียนเก่งนิสัยดี กลายเป็นเด็กกลางวันนอนหลับในห้องมืด ไม่ยอมกินอะไร
พฤติกรรมกลางคืนไม่นอน นั่งเหม่อลอยอยู่คนเดียว แถมรื้อของกินในตู้กับข้าวและตู้เย็นจนหมดเกลี้ยง ไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่อาบน้ำ ไม่พูด ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ และไม่ยอมออกข้างนอกบ้านนั้น
ล่าสุดวันที่ 14 ธ.ค. 65 หมอปลา มือปราบสัมภเวสี เดินทางไปที่บ้านพบกับพ่อแม่ของน้องอาร์ม จึงได้เข้าไปดูอาการของน้อง ทันทีที่น้องอาร์มเห็นหมอปลาและทีมข่าว มีสีหน้าที่ตกใจและทำตาแข็งในช่วงแรก พ่อแม่ของน้องอาร์มพยายามขอให้ลูกชายช่วยลุกมาพูดคุยกับหมอปลา แต่น้องอาร์มมีท่าทีขัดขืน
กระทั่งหมอปลา และน้ำฟ้า ภรรยา ได้พูดกับน้องอาร์มว่าหากไม่ให้ความร่วมมือหรือไม่ยอมพูด จะขอรับตัวน้องไปรักษาที่บ้านของหมอปลา น้องอาร์มมีท่าทีที่อ่อนลง ยอมพูดกับหมอปลาเป็นครั้งแรก น้องไม่เคยพูดกับใครตลอด 1 ปีที่ผ่านมา หมอปลาได้ถามเหตุผลที่น้องไม่ยอมใช้ชีวิตเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปว่าเกิดอะไรขึ้น น้องอาร์มตอบสั้น ๆ ว่า "ก็ไม่อยากอาบ ก็มันขี้เกียจ" ซึ่งทันทีที่พ่อแม่ของน้องอาร์มได้ยินเสียงของลูกชาย ต่างดีใจที่ลูกชายยอมพูดคุย
จากนั้นหมอปลาและน้ำฟ้าต่อรองกับน้องอาร์ม หากไม่อยากไปอยู่บ้านหมอปลาจะต้องยอมให้อาบน้ำและตัดผม ซึ่งในช่วงแรกเจ้าตัวมีท่าทีขัดขืนอยู่สักพัก ก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มยอมทำตาม ตลอดเวลาที่น้องอาร์มคุยกับหมอปลา พ่อแม่ของน้องอยู่ใกล้ ๆ ได้คอยให้กำลังใจลูกชายตลอดเวลา ผู้เป็นแม่ได้ร้องไห้และพูดกับลูกชายว่า "ลูกรักแม่ไหม ถ้าลูกรักแม่ ลูกอาบน้ำทำเพื่อแม่นะ" น้องอาร์มมีท่าทีนิ่งเฉย บอกกับแม่ว่า "รัก" ก่อนจะยอมไปตัดผมและอาบน้ำ หลังจากไม่ได้ทำมากว่า 1 ปีเต็ม
จากนั้นน้ำฟ้า จึงได้เริ่มตัดผมให้กับน้องอาร์ม ทันทีที่ได้ใช้กรรไกรตัดผม ผมของน้องเกาะกันแน่นเป็นก้อนหนา และมีเหาจำนวนมาก วางไข่เกาะอยู่เต็มหัว และเหาได้กัดกินหนังหัวของน้องอาร์มเลือดออก ซึ่งแม่ของน้องได้เห็นสภาพลูกชายขณะนั้นต่างตกใจ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ทีมงานของหมอปลายังได้ช่วยอาบน้ำให้กับน้องอาร์มอีกด้วย เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ให้กับน้อง หลังจากน้องไม่ได้อาบน้ำมากว่า 1 ปีเต็มเช่นกัน
ขั้นตอนระหว่างตัดผมและอาบน้ำทุกคนต่างให้กำลังใจน้องอาร์ม พ่อแม่ของน้องได้เอาเสื้อผ้าเปลี่ยนใหม่ให้ และแม่ได้ตัดเล็บเท้าให้กับน้องอาร์ม พ่อแม่ของน้องหลังได้เห็นสภาพของลูกชายแล้ว บอกกับนักข่าวและหมอปลาว่าดีใจมาก เหมือนได้ลูกชายคนเดิมกลับคืนมา พ่อแม่ของน้องได้หอมแก้มลูกชายด้วยความรัก
หลังจากหมอปลา เดินทางพบกับน้องอาร์มแล้ว ได้เดินทางต่อไปที่บ้านทรงไทย ที่ก่อนหน้านี้ครอบครัวน้องอาร์มเคยมาเช่าบ้านเช่าอยู่ใกล้กับบ้านทรงไทยหลังนี้เมื่อ 1 ปีก่อน น้องอาร์มมักจะชอบวิ่งเล่น ขี่จักรยานใกล้บ้านหลังนี้เป็นประจำ พ่อของน้องอาร์มสงสัยว่า ที่ลูกชายมีอาการผิดปกติ อาจจะเพราะถูกวิญญาณสัมภเวสี หรืออะไรบางอย่างเข้าสิงร่างหรือไม่
ก่อนหน้านี้ครอบครัวเคยเข้ามาอาศัยอยู่ มีการจุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทางช่วงแรกที่เข้ามาอยู่ แต่ช่วงย้ายออกไป กลับไม่ได้จุดธูปลา หรือขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง อาจทำให้เจ้าที่โกรธและเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับลูกชายหรือไม่
เมื่อหมอปลาเดินทางไปถึงได้ขออนุญาตคุณลุงย้อย เป็นคนดูแลบ้าน เพื่อเข้าไปเดินสำรวจรอบบ้าน แต่เมื่อหมอปลาเดินเข้าไปภายในบ้านไม่นาน เจ้าตัวก็รู้สึกสัมผัสถึงความผิดปกติ และรู้สึกไม่ดี อยากจะอาเจียน และบอกกับทีมข่าวว่าตนเองสัมผัสได้ถึงวิญญาณในที่แห่งนี้ รีบเดินออกจากพื้นที่บ้านทรงไทยหลังนี้ทันที
หมอปลาบอกว่า ตนเองเชื่อว่า สิ่งที่น้องอาร์มเป็นอยู่นี้ น้องถูกวิญญาณสัมภเวสีกำลังสิงร่างของน้องอยู่ เพราะจากคำพูดของน้องที่เคยชี้หน้าด่าแม่กับย่าตัวเองครั้งหนึ่งว่า "มนุษย์ไม่รู้จะเกิดมาทำไม เกิดมาก็อยู่ได้แค่ 100 ปี เดี๋ยวจะฆ่าให้ตายให้หมด" ซึ่งตนเองมองว่า ไม่ใช่คำพูดของเด็กอายุ 14 ปี
และเท่าที่สอบถามพ่อแม่ของน้องอาร์ม บอกว่าน้องอาร์มที่ผ่านมามักเจ็บป่วยบ่อย ดวงวิญญาณพวกนี้ก็จะเข้ามาอาศัยร่างของน้องอยู่ได้ง่ายมากขึ้น เพราะจิตใจอ่อนแอ หลังจากเข้ามาอยู่ในร่าง ก็จะทำให้น้องมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป กินกลางคืน กลางวันนอนหลับ ไม่เหมือนคนปกติ ไม่พูดไม่จากับใคร โชคดีที่พ่อแม่ของน้องมาบอกให้ตนเองช่วยก่อน เพราะหากปล่อยไว้นาน วิญญาณพวกนี้จะค่อย ๆ กัดกินร่างของน้องจนตาย ก็เป็นไปได้ ซึ่งหลังจากนี้ตนเองจะขอรับตัวน้องไปรักษา เป็นเวลา 7 วัน ตนเองมั่นใจว่าน้องจะหายกลับมาเป็นเหมือนเดิมแน่นอน
นางสาวมะลิ ทองแก้ว อายุ 45 ปี แม่ของน้องอาร์ม บอกว่า ลูกชายของตนเองมีอาการประหลาด ทุกวันตั้งแต่เวลา 17.00-06.00 น. เวลากินข้าวลูกชายจะเดินออกมากินข้าวในช่วงดึก ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ พ่อแม่หลับแล้ว รื้อเก็บของกินในตู้กับข้าวและตู้เย็นจนหมดเกลี้ยงตู้ ทุกวันจะไม่ยอมออกจากบ้านไปไหน อยู่แต่ในห้องมืด ๆ ไม่ยอมอาบน้ำ แปรงฟัน ตัดผม หรือเปลี่ยนเสื้อผ้าใด ๆ ทั้งสิ้น ที่สำคัญไม่พูดไม่จา ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ ถ้าใครมีท่าทีจะเข้าใกล้จะแสดงอาการไม่พอใจ เอาสิ่งของต่าง ๆ มาใช้เป็นอาวุธขู่ทำร้าย และขู่ฆ่าตัวตายทุกครั้ง
ที่ผ่านมาทางครอบครัวเคยไปปรึกษากับหมอทางจิตเวช หมอแนะนำให้พาตัวลูกชายมาด้วยเพื่อตรวจอย่างละเอียด แต่ทางครอบครัวไม่สามารถพาน้องอาร์มไปได้ เพราะลูกชายไม่ยอมออกจากบ้าน อาละวาดหนักถ้าขัดใจ ประกอบกับพวกตนเองไม่มีเงินมากพอ พวกตนเองจึงขอรับยามารักษาเบื้องต้น จึงเอาเรื่องไปขอให้หมอปลาช่วยเหลือ และวันนี้หมอปลาได้เข้ามาช่วยลูกชายแล้ว ดีใจมากที่ได้ยินเสียงลูกชายพูดได้อีกครั้ง รู้สึกมีความหวังว่าหมอปลาจะช่วยลูกตนเองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
ต่อมาหมอปลาได้เดินทางกลับมาที่บ้านของน้องอาร์มอีกครั้ง ก่อนจะบอกกับน้องอาร์มว่า จะขอให้น้องไปรักษาที่บ้านของหมอปลา โดยสัญญาว่า ไปเพียงแค่ 7 วัน โดยมีคุณพ่อของน้องไปอยู่ด้วย ซึ่งหมอปลาได้สัญญากับน้องอาร์มว่าน้องจะหาย และจะกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม โดยน้องอาร์มมีท่าทีขัดขืนเล็กน้อย แต่ก็ยอมขึ้นรถไปกับหมอปลา
จากนั้นหมอปลา ได้พาน้องอาร์มใช้ชีวิตข้างนอกบ้าน หลังจากที่น้องไม่เคยออกจากบ้านมาตลอด 1 ปีกว่า ได้พาไปกินไก่ทอด และเตรียมจะพาน้องอาร์มไปเที่ยวทะเล ดูการ์ตูน เพื่อให้น้องกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็กวัยรุ่นและครอบครัว ให้ความเห็นกับเรื่องนี้ผ่านทีมข่าวว่า จากที่ตนเองได้ดูคลิปของน้องอาร์มแล้ว เชื่อว่า เด็กไม่ได้ถูกผีเข้าสิงอย่างที่พ่อแม่ของเด็กคิด และเชื่อว่าน้องอาจจะมีภาวะป่วย และมีภาวะทางจิตมากกว่า ซึ่งจะต้องไปดูเรื่องสุขภาวะทางจิตของน้อง จากการศึกษา พบว่าผู้ใหญ่จำนวน 30% ที่มีภาวะทางจิตจะเริ่มมีอาการตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อวัยประมาณนี้
ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เด็กเกิดอาการแบบนี้ มีหลายปัจจัย ทั้งการถูกกดดันจากครอบครัว ระบบการศึกษาที่ไม่เอื้ออำนวย ระบบทางสังคมที่อยู่แบบตัวใครตัวมัน มีการแข่งขันสูง จนทำให้เด็กมีความรู้สึกท้อในการที่จะออกไปเผชิญโลกภายนอก และเกิดการแยกตัวออกจากสังคม และกลายเป็นเด็กเก็บตัวเงียบ
ซึ่งตนเองแนะนำว่าพ่อแม่ของเด็กควรพาเด็กไปพบจิตแพทย์อย่างเร่งด่วน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้จะนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ และเด็กแบบนี้ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะมีโอกาสทำร้ายตนเอง และผู้อื่นสูง หากไม่สะดวกพาลูกไปก็สามารถโทรศัพท์ไปที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ให้เจ้าพนักงานของรัฐ พาไปส่งสหวิชาชีพ เพื่อดูแลต่อไปได้ ซึ่งทางสหวิชาชีพจะทำอย่างละมุนละม่อม
ส่วนคำแนะนำต่อพ่อแม่เด็กก็ควรอยู่ใกล้ชิดกับลูกมากขึ้น ไม่ปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียว ให้พลักบวกแก่ลูก อดทน ใจเย็น ไม่ควรความรุนแรงใด ๆ เป็นเรื่องที่จำเป็นมาก ซึ่งพ่อแม่มีส่วนสำคัญในการให้กำลังใจน้อง ให้กล้ากลับออกไปสู่สังคมได้มากขึ้น และไม่ควรปล่อยละเลยลูกทิ้งไว้นาน
Advertisement