จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก "อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น part 5.2" โพสต์คลิปขณะที่ทหารบก พันเอกณัฐ (นามสมมติ) อายุ 43 ปี สังกัดกรมข่าวทหารบกใช้ความรุนแรงกับคนในครอบครัว พร้อมระบุข้อความที่ผู้บาดเจ็บซึ่งเป็นภรรยาของทหารนายดังกล่าวเขียนแนบมากับคลิป อธิบายไว้ว่า
"ร้องเรียนคะ ลูกก็โดนทำร้าย ลูกชายคนโตโดนพ่อใช้ไม้แขวนเสื้อตีจนเนื้อแตก ทำร้ายคุณยาย แล้วเอาลูกไปขังในห้อง ลูกเป็นคนถ่ายคลิปวีดีโอไว้ค่ะ อีกทั้งยังพยายามที่จะกระชากกระเป๋าเงิน เพื่อเอาเงินสดในกระเป๋าไป ตอนนี้เอาลูกมาอยู่กับเราได้โรงเรียนใหม่แล้ว โรงเรียนรับแล้ว แต่พ่อยื่นคัดค้านต่อ ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา ไม่อนุญาตให้ย้ายโรงเรียนมาอยู่กับแม่คะ และจะฟ้องร้องโรงเรียนเดิม หากมอบใบส่งตัวมาโรงเรียนที่นี่ค่ะ เลยกลายเป็นเรื่องวุ่นวายมากค่ะ กลั่นแกล้งเราทุกอย่าง"
ล่าสุดวันที่ 31 ต.ค. 65 นางอ้อม อายุ 41 ปี ผู้บาดเจ็บ เป็นภรรยาของพันเอกณัฐ ปัจจุบันกลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดใน จ.กาญจนบุรี จากเดิมที่เคยอยู่กับสามีและลูกชาย 2 คน ที่แฟลตทหารย่านสามเสน กรุงเทพฯ เปิดใจว่า ตนเองและสามีคบหากันตั้งแต่ปี 2547 จนได้มีการจดทะเบียนสมรสกัน เมื่อประมาณต้นปี 2548 เดิมทีสามีรับราชการทหารอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี ส่วนตนก็เป็นอาจารย์อยู่ที่ จ.กาญจนบุรี เช่นกัน เดือนธันวาคม 2549 มีลูกชายด้วยกัน 1 คน ปัจจุบันอายุ 16 ปี ต่อมาในช่วงปลายปี 2551 ได้มีการจดทะเบียนหย่ากันไป 1 รอบ เนื่องจากสามีชอบมีพฤติกรรมทำร้ายร่างกายตนอยู่เป็นประจำ ขนาดตอนนั้นตนตั้งครรภ์ลูกคนเล็กได้ 6 เดือน ก็ยังโดนทุบตี แถมยังใช้อาวุธปืนข่มขู่ด้วย จนตนรู้สึกไม่ปลอดภัย
ด้วยความที่เห็นแก่ลูก สามีเข้ามาขอคืนดี จึงมีการไกล่เกลี่ยหาทางออกด้วยกัน สามีสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายตนอีก จึงกลับมาจดทะเบียนสมรสกันครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2552 หลังจากจดทะเบียนสมรสรอบนี้ สามีก็มีการบวชขอขมาตนที่เคยทำร้าย จนมีลูกชายด้วยกันอีกคน ในช่วงเดือนสิงหาคม 2556 ปัจจุบันอายุ 9 ขวบ ตอนนั้นทั้งหมดอาศัยอยู่ที่บ้านของตนใน ต่อมาด้วยความที่สามียังคงมีพฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรงอยู่เรื่อย ๆ จึงทำให้ตนเครียดและป่วยเป็นโรคซึมเศร้าตั้งแต่ปี 2560 ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมาตลอด
เมื่อประมาณปี 2561 สามีได้ย้ายไปประจำการอยู่ที่กรุงเทพฯเพียงลำพัง พักอาศัยอยู่ที่แฟลตทหารย่านสามเสน เป็นสถานที่เกิดเหตุตามคลิป ตอนนั้นตนก็ได้พาลูกทั้ง 2 คนมาเยี่ยมในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ประจำเพื่อจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแบบครอบครัว กระทั่งเมื่อประมาณปี 2562 ตนสืบทราบว่าสามีไปมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับผู้หญิงอื่นหลายคน เพราะมีหลายครั้งที่สามีเรียกสรรพนามตัวเองว่าฉัน และเรียกตนว่าเธอ ซึ่งปกติจะเรียกกันว่า "พ่อแม่" ตลอด บวกกับตนได้รับคลิปเสียงที่ทั้งคู่คุยกัน ฝ่ายหญิงบอกว่าตัวเองไม่ได้ท้อง ซึ่งไม่ใช่การพูดคุยของคนปกติ ตนจึงโทรคุยกับผู้หญิงคนนั้น เขาก็ยอมรับว่าเป็นชู้จริง อยากเข้ามาทำหน้าที่ปรนนิบัติสามีให้ตนแทน หาว่าตนทำแต่งาน ทำแต่กับข้าว แถมยังจะฟ้องสามีตนอีกว่าไปหลอกเขาว่าไม่มีภรรยา ทั้งที่ในเฟซบุ๊กของสามีมีรูปครอบครัวเต็มไปหมด เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ฟ้อง เพราะตนบอกว่าหากฟ้องมา ตนก็จะฟ้องกลับในฐานะที่เข้ามาเป็นชู้กับสามีคนอื่น ผู้หญิงคนนั้นก็เลยหายไป
เวลาที่ตนถามเรื่องนี้ก็จะหงุดหงิดง่าย ชวนทะเลาะจนตนเครียดอยากฆ่าตัวตาย และมีการปรึกษาขอเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลศรีธัญญาแล้ว แต่ทางโรงพยาบาลบอกว่าอาการยังไม่เข้าเกณฑ์ เลยพยายามหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจด้วยการเข้าหาธรรมะ และอยู่กับลูกให้มากที่สุด ตนจึงตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ที่แฟลตทหารกับสามี พร้อมกับนำลูกชาย 2 คนมาอยู่ด้วยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งพอมาอยู่ด้วยกันก็มักจะมีปากเสียงเรื่องชู้สาวมาโดยตลอด พอไม่ได้ดั่งใจก็จะทะเลาะกัน สามีก็จะใช้ความรุนแรงทุบตีตนต่อหน้าลูก จนลูกต้องเข้ามาห้ามหลายครั้ง จนปัจจุบันตนโดนทำร้ายเกือบ 20 ครั้ง อีกทั้งสามียังชอบทำร้ายร่างกายลูกชายทั้ง 2 คน ทั้งที่บ้านพักและที่โรงเรียนด้วย
เมื่อปี 2562 ผู้ปกครองของเด็กที่โรงเรียนไลน์มาบอกกับตนว่าเห็นสามีตีลูกชายคนเล็กต่อหน้าเพื่อน ๆ จนลูกชายร้องไห้ และเมื่อเดือนเมษายน 2564 ก็มีการใช้ไม้แขวนเสื้อตีลูกชายคนโตจนเนื้อแตก จนลูกทั้ง 2 คนกลายเป็นเด็กที่ระแวง และหวาดกลัวพ่อของเขา ต่อมาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2565 ประมาณ 08.00 น. ตนเองกับสามีมีปากเสียงทะเลาะกัน เนื่องจากสามีต้องการให้ตนไปรับรถที่ซื้อใหม่ให้ที่ศูนย์ ก่อนหน้านี้วางเงินดาวน์ไว้แล้วประมาณ 1 ล้านกว่าบาท แล้วมีฤกษ์ออกรถตอนเวลา 09.00 น. แต่คืนก่อนหน้านั้น ตนเพิ่งกินยารักษาโรคซึมเศร้าไป มีฤทธิ์กดประสาททำให้เกิดความง่วง จึงไม่มีแรงลุกขึ้นไปรับรถให้ได้ สามีก็โมโหจึงเข้าล็อกห้องนอนที่ตอนนอนอยู่ แล้วการกระชากหัวจิกแขนตนจากเตียงนอน เขย่าตบตีทำร้ายร่างกายเอาตัวไปฟาดกับเตียงจนตนเจ็บปวดตามตัว เจ็บหน้าอกไปหมด เพราะด้วยฤทธิ์ยาทำให้ตนไม่มีทางสู้กลับ โดยที่ลูกชายคนเล็กก็ยืนฟังเสียงอยู่ด้านนอก
สามีทำร้ายตนจนหนำใจ เขาก็ออกไปส่งลูกชายคนเล็กที่โรงเรียน ด้วยความกลัวเพราะสามีมีปืน ตนหลบอยู่แต่ในห้องและนำเตียงนอนมาดันประตูไว้ไม่ให้สามีเข้ามาได้ ผ่านไป 15 นาที สามีกลับมาก็ทำการปิดระบบระบายอากาศของห้องพักทั้งหมด แล้วนำยาฆ่าแมลงมาพ่นใส่ช่องประตูห้องนอน เพื่อให้ตนสำลักควัน และออกมาจากห้อง ตอนนั้นตนไม่รู้จะทำยังไงจึงตัดสินใจไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน ตนต้องอยู่ในห้องนั้นประมาณ 15 นาทีจนไม่สามารถทนต่อได้ เพราะแสบตาและหน้าแดงไปหมด โทรหาสามีแล้วบอกว่าจะออกไปรับรถให้ เพราะตอนนั้นยังเป็นเวลาประมาณ 08.30 น. ตนถึงสามารถออกมาจากห้องนั้นได้ สุดท้ายเฟซบุ๊กบัญชีที่ไลฟ์ก็ถูกปิด ทำให้ไม่มีหลักฐานคลิปที่เก็บไว้ พอตนออกมาได้ก็เลยตั้งใจไว้แล้วว่าจะหย่า จึงตัดสินใจไม่เข้าไปรับรถออกมา แล้วก็ไปตรวจร่างกาย แจ้งความที่ สน.เตาปูน พร้อมกับพาลูกชายคนเล็กกลับมาอยู่บ้านที่ จ.กาญจนบุรี แต่ผ่านไป 2 วัน สามีก็โทรมาขู่ให้ตนพาลูกกลับไป ไม่อย่างนั้นตนจะตาย และจนถึงปัจจุบันคดีก็ยังไม่คืบหน้า
วันที่ 19 กันยายน 2565 ตนก็เลยพาลูกกลับไป พาแม่ไปอยู่ด้วย เผื่อจะได้ทำให้สามีเกรงใจมากขึ้น แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะสามีก็ยังหาเรื่องทะเลาะกับตนจนมีปากเสียงกันทุกวัน จนวันที่ 25 กันยายน 2565 ขณะที่ตนกำลังทำกับข้าว สามีก็เดินมาถามว่าเมื่อไรจะทำกับข้าวและรีดผ้า พร้อมกับหาเรื่องตน กระชากกระเป๋าสะพายข้างของตน แล้วทำการค้นและขโมยไดอารี่ที่ตนเขียนบันทึกเหตุการณ์ที่ถูกทำร้ายร่างกายไว้ ขณะนั้นแม่ของตนเข้าไปแย่งคืน ก็โดนสามีทำร้ายร่างกายจนร่างกายมีรอยช้ำที่บริเวณแขน ลูกชายคนเล็กสามารถบันทึกคลิปหลังถูกทำร้ายไว้ได้ หลังจากนั้นตนก็เลยพาแม่กับลูกชายคนเล็กกลับมาอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี จนถึงปัจจุบัน
พอลูกชายคนเล็กปิดเทอม วันที่ 7 ตุลาคม 2565 ตนก็ไปทำเรื่องขอย้ายลูกไปเรียนที่ จ.กาญจนบุรี โดยตอนแรกทางโรงเรียนก็ตกลง ให้ยื่นเอกสารได้ พร้อมกับบอกตนว่า ก่อนหน้านี้สามีตนเข้ามาแจ้งกับทางโรงเรียนว่า "หากภรรยามาแจ้งย้าย จะไม่อนุญาตให้ย้าย เพราะปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นแค่ปัญหาในครอบครัวเท่านั้น ภรรยาอาจจะย้ายเพื่อประชด" ตนก็เริ่มเอะใจตั้งแต่ได้ยินเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเล่าให้ฟังแล้ว จนสุดท้ายวันที่ 21 ตุลาคม 2565 ตนไปติดตามคืบหน้าเพื่อย้ายออกมา เพราะตอนนั้นลูกสอบติดที่โรงเรียนใน จ.กาญจนบุรี ทางสามีได้มีการยื่นคัดค้านต่อ ผอ.เขตพื้นที่การศึกษาไว้ก่อนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2565 โดยใช้สิทธิ์ความเป็นพ่อตามกฎหมาย ทำให้ตอนนี้ลูกชายคนเล็กยังมีชื่ออยู่ในโรงเรียนที่ กทม. แต่ตนนำตัวลูกมาฝากเรียนที่ จ.กาญจนบุรี ชั่วคราว เพราะไม่อยากให้กลับไปอยู่กับสามี
ส่วนลูกชายคนโต ปัจจุบันยังอยู่ที่แฟลตทหารของสามี เพราะเห็นว่ากำลังเรียน ม.ปลาย แล้วสังคมในโรงเรียนก็ดี แต่ที่ตนสงสารลูกคนโตมาก คือสามีปล่อยให้อยู่คนเดียวที่แฟลตทหารใหม่ ทั้งที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ลูกบอกกับตนว่าพ่อแทบจะไม่ได้มาดูแลเลย ต้องซักผ้าเอง เดินไปโรงเรียนเอง สีหน้าลูกดูเครียด เพราะเท่าที่ตนเห็น ภายในห้องไม่เห็นว่าจะมีข้าวของของสามีอยู่แม้แต่ชิ้นเดียว
เมื่อวานนี้ 30 ตุลาคม 2565 ตนไปเยี่ยมลูกชายคนโต แต่พอกลับมาลูกโทรมาบอกว่าพ่อได้เปลี่ยนกุญแจเข้า-ออกห้องใหม่ เพราะไม่ต้องการให้ตนมาหาลูกและทราบว่าตนมีกุญแจชุดเก่าของห้องดังกล่าว ส่วนสามีปัจจุบันทราบว่าย้ายไปอยู่อีกแฟลตหนึ่ง ซึ่งเป็นแฟลตทหารเก่ากับผู้หญิงอีกคนที่เป็นทหารอยู่ในกรมเดียวกัน ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ในลักษณะชู้สาว ตอนนี้ตนอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานตรงนี้ เพื่อใช้ในการฟ้องหย่าด้วย เหตุผลที่ตนต้องออกมาร้องสื่อฯ เพราะตนต้องการให้ลูกได้รับการเลี้ยงดูในทางที่ดีที่สุด เพื่อจะได้เติบโตมาเป็นเด็กดี บวกกับที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 ตนได้ยื่นเอกสารไปยังต้นสังกัดของสามี เพื่อให้มีการดำเนินการ 3 เรื่องกับสามี 1.สอบสวนคำเนินความผิดทางวินัยและเอาผิดฐานกระทำร้ายร่างกายภริยา 2.ให้ส่งเสียค่าอุปการะบุตรทั้ง 2 คน คนละ 25,000 บาทต่อเดือน 3.ห้ามข่มขู่คุกคามและก่อกวนด้วยวิธีต่าง ๆ ต่อดิฉัน ผู้ยังถือเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย
นางอ้อม กล่าวทั้งน้ำตาว่า ที่ตนออกมาพูดครั้งนี้จุดประสงค์หลักคือต้องการให้ลูกมีความสุข ยืนยันว่าไม่ต้องการให้ลูกคนเล็กไปอยู่กับสามีเด็ดขาด เพราะกลัวเรื่องความปลอดภัยของลูก ต้องการให้ตนเป็นผู้ปกครองแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงอยากให้ลูกได้เรียนในที่ที่เขาต้องการ ส่วนลูกคนโตตนยินดีหากลูกต้องการจะอยู่ที่เดิม เพราะเชื่อว่าเขาโตพอที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองได้
ที่สำคัญคือต้องการหย่าขาดกับสามีโดยเด็ดขาด เพราะสิ่งที่เขาทำถือเป็นความรุนแรงในครอบครัว และเกรงว่าปัจจุบันที่คดีตนไม่คืบ เพราะมีคนอยู่เบื้องหลังคอยช่วยเหลือสามีอยู่หรือไม่ เนื่องจากเมื่อเช้าของวันนี้ มีคนแจ้งตนว่าสามีเอาเอกสารสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้านไปเซ็นชื่อเอง โดยไม่มีรู้ว่าจะเอาไปทำอะไร ตนอยากจะบอกกับสามีว่า "มีสติคิดเยอะ ๆ ก่อนจะทำอะไรลงไป เพราะลูกเห็นลูกซึมซับจะกลายเป็นว่าลูกเป็นคนรับมันทั้งหมด ไม่อยากให้ลูกเห็นความรุนแรงในครอบครัวอีกแล้ว ฉันทนมามากไปแล้ว ต่อไปนี้จะขอเข้มแข็งเพื่อเป็นหลักให้ลูก ขอสัญญากับตัวเองว่าต่อจากนี้จะไม่ปล่อยให้มาทำร้ายฉันและลูกอีกแล้ว"
ทีมข่าวยังได้รับคลิปที่ถูกบันทึกไว้ในวันที่ 21 ตุลาคม 2565 เวลา 07.30 หลังจากที่นางอ้อมและลูกชายคนเล็กทราบว่าถูกสามียื่นคัดค้านไม่ให้ย้ายโรงเรียน ก็ทำให้ลูกคนเล็กเสียใจมาก จึงให้แม่โทรหาพ่อเพื่อจะบอกให้เลิกยื่นคัดค้าน โดยนางอ้อมยืนยันว่าคลิปเสียงนี้ ไม่ได้บังคับให้ลูกพูด เพียงแต่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ลูกฟังตามจริง
คลิปเสียงความยาว 2.20 นาที สามีพยายามจะให้ตนพาลูกชายคนเล็กวัย 9 ขวบไปส่งที่แฟลตทหารย่านสามเสน กทม. เพราะปัจจุบันชื่อของลูกยังอยู่ที่โรงเรียนใน กทม. แต่ตนนำลูกมาฝากเรียนที่โรงเรียนในใน จ.กาญจนบุรี ชั่วคราว คลิปเสียงผู้เป็นพ่อบอกว่าคิดถึงลูก แต่ลูกปฎิเสธที่จะให้แม่พาไปส่ง กทม. ด้วยน้ำเสียงสะอื้น บอกว่า "พ่อใจร้าย" ยังบอกอีกว่า "พ่อหยุดยื่นคัดค้านได้แล้ว ลูกอยากย้ายโรงเรียนมาอยู่กับแม่ที่ จ.กาญจนบุรี เพราะอยู่กับพ่อไม่มีความสุขเลย พ่อตีแรง ตีแม่ด้วย และตีพี่ด้วย อยู่กับพ่อแล้วไม่มีความสุขเลย"
พันเอกณัฐก็อ้างว่าที่ยื่นคัดค้านเพราะสงสารลูก ลูกก็บอกว่า "พ่อไม่ยอมให้คำตอบเรื่องคัดค้านสักที ลูกอยากย้ายโรงเรียน ไม่อยากอยู่กับพ่อ อยากอยู่กับแม่" จากนั้นพันเอกณัฐก็บ่ายเบี่ยงที่จะตอบ บอกว่าค่อยคุยกันต่อวันหลัง ลูกชายก็ยังยืนยันคำเดิมว่า "ใจร้ายอะ" และยังคงร้องไห้ตลอดการคุยโทรศัพท์ครั้งนี้
ด้วยความที่สามีมีพฤติกรรมที่นอนกับผู้หญิงหลายคน ตนเกรงว่าจะติดโรคติดต่อก็เลยพยายามจะร่างหนังสือยื่อต่อเจ้ากรมฯ เป็นหัวหน้าของสามีในขณะนั้น จากนั้นเมื่อสามีทราบจึงมีการทะเลากันในช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 ภายในคลิปเสียงความยาว 2.06 นาที ที่นางอ้อมพูดคุยกับพันเอกณัฐเกี่ยวกับเรื่องชู้สาว เพราะมีผู้หญิงโทรศัพท์มาหาบ่อยมากและหลายคน ต้องการจะเขียนข้อความให้ผู้ใหญ่ในกรมต้นสังกัดของสามีรับรู้ เกี่ยวกับพฤติกรรมของพันเอกณัฐ ทั้งเรื่องชู้สาวและการทำร้ายร่างกาย แต่ด้านของพันเอกณัฐ ก็ไม่ได้เกรงกลัว ท้าทายให้จ้างทนายมาฟ้องหย่าได้เลย
Advertisement