จากกรณี เมื่อเวลา 22.00 น. ของวันที่ 25 ก.ย. 65 ร.ต.อ.คีรีเอก บุญมงคล รองสารวัตร (สอบสวน) สน.บางเขน รับแจ้งเหตุทะเลาะวิวาทใช้อาวุธปืนยิงหลายนัด ภายในซอยลาดปลาเค้า 76 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม.
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารตึกร้างสูง 5 ชั้น บริเวณถนนด้านหน้าพบรถเก๋งโตโยต้า วีออส สีเทา หมายเลขทะเบียน 5กพ 7147 กทม. สภาพกระจกด้านหน้ารถ และกระจกประตูด้านซ้าย มีรอยกระสุนปืนยิงรวม 2 รู แตกร้าวเสียหาย มีรอยหยดเลือดและปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. รวม 3 ปลอกตกอยู่บริเวณหน้าตึก
เบื้องต้น พบมีผู้ถูกอาวุธปืนยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ทราบชื่อคือ นายวีรพล เสื้อโรจน์ หรือ อ้วน อายุ 39 ปี มีบาดแผลถูกอาวุธปืนยิงเข้าที่หน้าอก หัวไหล่ซ้าย และต้นขาซ้าย รวม 3 นัด ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลภูมิพลฯ
ส่วนผู้ก่อเหตุที่ยิงปืนใส่นายอ้วนคือ นายธวัชชัย โตเปรม หรือ แจ็ค อายุ 28 ปี หลังเกิดเหตุได้หลบไป จากนั้นเวลาประมาณตี 2 ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับตำรวจ สภ.บางเขน เรียบร้อยแล้ว
ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 26 ก.ย. 65 ที่ สภ.บางเขน หลังจากนายธวัชชัย โตเปรม หรือ แจ็ค เข้ามอบตัวกับตำรวจ ตำรวจได้แจ้งข้อหา มือยิง ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น, พกพาปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต, ยิงปืนในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และทำให้เสียทรัพย์
จากการสอบสวน นายธวัชชัย รับสารภาพว่าเป็นคนยิงนายอ้วนจริง โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันตัว เพราะนายอ้วนเมาจนขาดสติ และไล่ยิงชาวบ้านในตึก อีกทั้งยังเล็งปืนมาที่ตนเองด้วย ซึ่งตอนนั้นเข้าไปหลบอยู่หลังแม่ของนายอ้วนบริเวณหน้าต่างชั้น 2 ของตึก แต่นายอ้วนก็ยังเล็งปืนยิงใส่ ซึ่งแม่ของนายอ้วนพยายามร้องห้ามปราม แต่นายอ้วนก็ยังยิง ตนเองจึงตัดสินใจยิงใส่นายอ้วนไป 3-4 นัด แต่ไม่รู้โดนหรือไม่ เพราะเวลานั้นมืดมองไม่ค่อยเห็น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเองไม่รู้จักนายอ้วน แต่ได้ยินนายอ้วนตะโกนใส่เพื่อนในวงเหล้าว่าจะเอาปืนมายิงใส่เด็กและผู้หญิงในตึก แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาจริง จึงไปนอนเล่นกับเพื่อนในตึก จนกระทั่งนายอ้วนขี่จักรยานยนต์มากับเพื่อนอีกคน ก่อนไล่ยิงและไล่ฟัน ตนเองจึงใช้ปืนยิงใส่นายอ้วนเพื่อให้นายอ้วนหยุด ส่วนอาวุธปืนเป็นของภรรยาที่ใช้ภรรยามีทะเบียนถูกต้อง หลังเกิดเหตุช่วงเที่ยงคืนจึงเดินทางมามอบตัวกับตำรวจพร้อมปืนที่ใช้ก่อเหตุ
ภาพจากกล้องวงจรปิด ห่างจากตึกที่เกิดเหตุประมาณ 30 เมตร ในคลิปจะได้ยินว่านายอ้วน ผู้ก่อเหตุ เมื่อขี่รถจักรยานยนต์มาที่ตึกรอบ 2 เวลาประมาณ 21.07 น. จากนั้นได้ตะโกนด่าคนในวงเหล้า ซึ่งเจ้าตัวได้ขู่ไว้ว่าจะเอาปืนมายิง จะได้ยินนายอ้วนพูดประมาณว่า "มึงลงมาตัว ๆ กับกู พวกมึงเป็นอะไร" จากนั้นเสียงปืนชุดแรกดัง 5 นัดสนั่น
จากนั้นผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีได้ยินเสียงปืนชุดที่ 2 ดังขึ้น คาดว่าเป็นเสียงปืนที่นายแจ็คที่อยู่ชั้น 2 ของตึกยิงลงมาใส่นายอ้วน นับเสียงปืนได้ 9 นัด ก่อนที่จะเห็นชาวบ้านใกล้เคียงชะโงกหน้าออกมาดูด้วยความตกใจ
นางราตรี พละสุข อายุ 58 ปี แม่ของนายวีระพล หรือ อ้วน ผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุตนเองทราบว่าลูกชายขับรถจักรยานยนต์เข้ามาใต้ตึกเวลาประมาณ 20.00 น. แต่ระหว่างนั้นตนเองนอนพักอยู่บนห้องชั้น 2 จนมีคนวิ่งมาบอกว่า ลูกชายชกต่อยอยู่กับกลุ่มวัยรุ่นที่นั่งกินเหล้าอยู่ด้านล่างตึก แต่ลงไปห้ามไม่ทัน ซึ่งตนเองได้ยินมาว่าลูกชายนั้นก่อนเกิดเรื่องได้ขี่รถจักรยานยนต์จะเข้ามาหาตนเอง แต่ได้เบิ้ลรถเสียงดัง ด้วยความคึกคะนอง ก่อนจะไปเจอกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุ ซึ่งกินเหล้ากันอยู่ใต้ตึก จากนั้นลูกชายได้ไปหาเรื่องชวนทะเลาะฝ่ายนายแจ็คตุก่อน ลูกชายไปด่านายแจ็คว่า "เห้ย มึงเคยอยู่คุก ทำไมมึงไม่ทักกู มึงไม่รู้จักกูเหรอ"
จากนั้น ลูกชายก็ได้ชี้หน้าด่านายมานพ เพื่อนของนายแจ็คด้วยความเมาขาดสติ และเดินลงจากรถเข้าไปชกต่อยนายมานพ แต่ปรากฏว่าลูกชายต่อยแพ้จึงเกิดความแค้น โดยลูกชายขู่กลุ่มวัยรุ่นทั้งหมดว่า "เดี๋ยวพวกมึงรออยู่นี่ เดี๋ยวมึงเจอกู พวกมึงอยู่ไม่ได้แน่" ก่อนขี่รถไปเอาปืนที่บ้าน
กระทั่งเวลา 21.00 น. ลูกชายได้ขี่รถจักรยานยนต์กลับมาที่ตึกอีกครั้ง นำปืนมาด้วย ตนเองจึงออกจากห้องไปยืนคุยกับลูกชายบริเวณริมหน้าต่างบริเวณชั้น 2 อยู่ใกล้กับห้องพักของตนเอง โดยได้บอกลูกชายไปว่า "ให้กลับไป อย่าทำอะไรคนที่อยู่ที่นี่ เดี๋ยวแม่จะอยู่ที่นี่ไม่ได้" แต่ลูกชายได้พูดตะโกนตอบกลับมาหาตนเองว่า "ถ้าแม่อยู่ไม่ได้ เดี๋ยวหนูจะไปเช่าบ้านให้แม่อยู่เอง" จากนั้นตนเองก็ได้ยินว่าลูกชายตะโกนท้าทายกับนายแจ็ค ซึ่งยืนอยู่ติดกับตนเอง บริเวณหน้าต่างชั้น 2 ว่า "กูเอาปืนมาแล้ว แน่จริงมึงก็ลงมาเลย" แต่ตนเองเห็นว่าลูกชายยังไม่ทันได้ชักปืนออกมา นายแจ็คก็ได้ยิงปืนใส่ลูกชายประมาณ 5 นัดก่อน ตอนนั้นตกใจมาก จึงได้วิ่งหลบหนีเข้ามาภายในห้อง เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย
สำหรับนายแจ็ค ผู้ก่อเหตุ ตนเองทราบว่าเป็นเพื่อนของลูกชายตั้งแต่โดนจำคุกอยู่ในเรือนจำ เพราะก่อนหน้านี้ลูกชายต้องโทษในคดียาเสพติด แต่ไม่ได้พักอยู่ที่นี่ ส่วนมากจะแวะเวียนมาแค่ตั้งวงดื่มเหล้ากันเท่านั้น ส่วนลูกชายจะแวะเวียนมาหาตนเองบ้างเดือนละ 2 ครั้ง เพราะเจ้าตัวทำงานเป็นลูกจ้างร้านซ่อมแอร์ ซึ่งก็จะให้เงินเลี้ยงดูผู้เป็นแม่บ้าง หลังเกิดเหตุ ตนเองยังไม่ได้เดินทางไปดูอาการลูกชายเลย แต่ทราบว่าอาการยังสาหัส เรื่องนี้ตนเองก็ไม่ได้เข้าข้างลูกชาย และมองว่าลูกชายก็ผิดที่ไปหาเรื่องเขาก่อน
Advertisement