ถลกมุ้งฆ่า 2 ผัวเมีย ยิงแสกหน้า เด็ก 8 ขวบช็อกดูศพ ล็อกเค้นแม่ผัวพิรุธเสียงปืน (คลิป)

จากกรณีวันที่ 08.30 น. วันที่ 27 ส.ค. 65 ตำรวจ สภ.ห้วยยอด รับแจ้งเหตุ พบศพสามีภรรยา ถูกคนร้ายยิงด้วยอาวุธปืนนอนเสียชีวิต ภายในห้องนอนบ้านหมู่ 5 บ้านต้นมะพร้าว ต.บางกุ้ง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียว ล้อมรอบด้วยสวนยางพารา พบว่าประตูบ้านปิดไม่ได้ล็อกประตู เข้าไปภายในห้องนอนพบร่างของ นายสรัลยศ สิทธิโชค หรือ หมาก อายุ 29 ปี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดเข้าที่กลางคิ้ว ทะลุศีระษะด้านซ้าย จำนวน 1 นัด นอนหงายหน้าบนที่นอน สภาพสวมกางเกงเพียงตัวเดียว

ติดกันบนที่นอนพบร่างของ น.ส.นาถตยา เจ็กคำ หรือ เก๋ อายุ 28 ปี ชาว จ.สกลนคร นั่งพิงฝาพนังอยู่บนที่นอน สภาพสวมเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์ขาสั้น ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบชนิด และขนาดเข้าที่ขมับซ้าย จำนวน 1 นัด คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 8-12 ชม. ภายในมุ้งในห้องนอน ตรวจสอบพบคราบเลือดทั่วห้อง ไม่พบอาวุธปืนหรือปลอกกระสุนที่ก่อเหตุ

นอกจากนี้ พบอุปกรณ์เสพยาเสพติด ใบจากยาเส้นตกอยู่เกลื่อนพื้น หลังเกิดเหตุตำรวจได้ปิดกั้นพื้นที่เก็บหลักฐาน และตำรวจชุดสืบสวน ทั้ง สภ.ห้วยยอด และตำรวจภูธรจังหวัดตรังลงพื้นที่หาเบาะแสของคนร้ายทันที

นางปรีดา ชนะพาล อา ยุ54 ปี แม่ยาย บอกว่าลูกสะใภ้เลิกกับลูกชายของตนเองมาได้ปีกว่าแล้ว ลูกชายเสียชีวิตถูกแทงตายไปเมื่อปีเศษ มีลูกด้วยกัน 2 คน เป็นลูกชายทั้ง 2 คน อายุ 3 ขวบ และอายุ 1 ขวบ

ต่อมานางสาวเก๋ก็มาคบกับนายหมาก สามีคนปัจจุบัน ประมาณ 1 ปี ลูกสะใภ้เป็นคนนิสัยดี เรียบร้อย ตนเองก็รักถึงลูกสะใภ้จะไปมีครอบครัวใหม่ ตนเองก็ยังรักเหมือนเดิม หลังจากนี้งานศพก็คงจัดการเองที่นี่ เพราะญาติที่ จ.สกลนคร ไม่เอา

ก่อนเกิดเหตุตนเองคิดว่าจะเอาหลานมาส่งคืนให้ผู้เป็นแม่ แต่ไม่ได้มาส่งคิดว่าหากมาส่งคงเกิดเรื่องไปด้วย เมื่อ 5 เดือนที่แล้วตนเองเคยชวนลูกสะใภ้กลับไปอยู่ด้วย เนื่องจากนายหมากทุบตีนางเก๋บ่อยครั้ง ตนเองคาดว่าอาจจะยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ทั้งนี้ ช่วงตี 2 สามีตนเองฝันว่านางสาวเก๋ไปหาที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นยังไม่ทราบเรื่องที่ว่านางสาวเก๋เสียชีวิตแล้ว แต่ตนเองมาทราบในตอนเช้าหลังจากกรีดยางพาราเสร็จ

ล่าสุ ดทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปบ้านที่เกิดเหตุ ในสวนยาพารา ห่างจากชุมชนประมาณ 1 กิโลเมตร บ้านหลังดังกล่าวมีบ้านที่อยู่ติดกันเพียง 1 หลัง คือบ้านแม่ของนายสรัลยศ ผู้ตายเท่านั้น ทีมข่าวสอบถามนางตุ้ม น้าสาวของนายสรัลยศ หรือ หมาก ผู้ตายให้ข้อมูลว่า บ้านที่เกิดเหตุนั้นนายหมากและนางสาวเก๋อยู่กันแค่ 2 คนผัวเมีย ส่วนตนเองอยู่กับแม่ของนายหมาก, นายยอง อายุ 80 ปี ซึ่งเป็นพ่อของตนเองและแม่นายหมาก และหลานสาววัย 8 ขวบ รวม 4 คน โดยมีบ้านอยู่ติดกัน

ก่อนจะพบศพ แม่ของนายหมาก ได้ออกไปซื้อกับข้าวมาทำกินที่บ้านช่วง 6 โมงเช้า และเมื่อทำกับข้าวเสร็จ ทุกคนได้เรียกให้ทั้งสองออกมากินข้าวด้วยกัน แต่ไม่มีเสียงตอบรับ ด้วยความแปลกใจ ตนเองจึงสั่งให้หลานสาววิ่งไปดูว่าทั้งคู่นอนตื่นกันแล้วหรือยัง แต่เมื่อเข้าไปถึงหลานสาวได้วิ่งออกมาหน้าตาตื่น และบอกว่า ทั้ง 2 คนนอนเป็นศพ มีเลือดเต็มบ้าน ตนเองจึงรีบโทรแจ้งผู้ใหญ่บ้านและตำรวจและเข้าไปดูภายในบ้านก็เห็นอนเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่ภายในมุ้งแล้ว สภาพศพถูกยิงหัวทั้งผัวเมีย

ตอนนั้นตนเองตกใจมากและพยายามนึกว่าทั้งสองคนนี้ถูกยิงหัวได้อย่างไร เนื่องจากก่อนเกิดเหตุ 2 วันก่อน ตนเองยังเห็นนายหมากและนางสาวเก๋ ขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายเข้าไปภายในบ้าน ปิดประตูบ้านตามปกติ และตนเองก็มานึกได้ว่า ก่อนที่จะมาพบศพ ตนเองสงสัยบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเวลาประมาณ 2 ทุ่มคืนก่อนพบศพ ระหว่างที่ตนเองกำลังล้างไก่ทำอาหารอยู่ข้างบ้าน ตนเองได้ยินเสียงคนขี่รถจักรยานยนต์มาจอดหน้าบ้านของทั้งสองคน ก่อนจะได้ยินเสียงเรียก "หมาก" จำนวน 3 ครั้ง เป็นเสียงผู้ชาย ตอนนั้นตนเองด้วยความแปลกใจ จึงบอกให้แม่ของนายหมากที่นอนอยู่ในบ้านลุกไปดู แต่ด้วยความมืดและทุกคนขี้เกียจออกไปดูจึงไม่มีใครออกไปดู

หลังจากได้ยินเสียงเรียกจากชายปริศนา ผ่านไป 2 นาที ก็ได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ขี่ออกไป ตนเองกำลังสงสัยว่าชายปริศนาคนนี้เข้ามาหานายหมากเพื่ออะไร และหากเป็นคนร้ายจะมาเรียกชื่อให้ชาวบ้านรู้ตัวทำไม แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้น คืนก่อนจะพบศพตนเองและทุกคนในบ้าน ไม่ได้ยินเสียงปืนดังเลยสักนัดเดียว โดยตนเองเชื่อว่าคนร้ายนั้นต้องเป็นคนที่ผู้ตายไว้ใจมาก เพราะพบว่าประตูบ้านปกติแล้วทั้งสองคนเวลาเข้าออกจะล็อกปิดประตูทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ประตูบ้านถูกเปิดทิ้งไว้ และไม่มีร่องรอยการงัด

จุดที่ทั้งสองถูกยิงในมุ้งไม่พบร่องรอยการต่อสู้ ซึ่งตนเองเชื่อว่า คนร้ายต้องรู้สึกสนิทกับทั้งสองคนค่อนข้างมาก และอาจจะใช้จังหวะทีเผลอก่อเหตุยิงและหลบหนีไป และตนเองเชื่อว่าคนร้ายออกจะยิงในเวลากลางวัน ตอนที่พวกตนเองไม่อยู่บ้านมากกว่า เพราะช่วงกลางคืน ไม่มีใครได้ยินเสียงปืน

ล่าสุดที่ ห้องสอบสวน สภ.ห้วยยอด หลังเกิดเหตุ ตำรวจได้นำตัวคนในบ้านทั้งหมด 4 คน คือ 1.นางอ่อนทิพย์ แม่ของนายหมากผู้ตาย 2.น้าสาวของนายหมากผู้ตาย 3.ตาของนายหมากผู้ตาย และ 4.น้องแพรว (นามสมมติ) วัย 8 ขวบ นำตัวมาสอบปากคำ โดยมีการแยกสอบแต่ละคน

คนที่ตำรวจนำตัวสอบปากคำมากที่สุดคือ แม่ของนายหมากผู้เสียชีวิต มีการสอบปากคำรวมเวลากว่า 10 ชั่วโมงแล้ว จากการสอบปากคำของตำรวจ ในตอนแรกแม่ของนายหมาก ให้การว่าไม่ได้ยินเสียงปืนในคืนเกิดเหตุ แต่เมื่อตำรวจเค้นสอบไปเรื่อย ๆ แม่ของนายหมากดันกลับคำให้การ และบอกได้ยินเสียงปืน แต่ไม่ยอมบอกว่า ด้ยินกี่นัด เวลาใด

ซึ่งระหว่างที่ตำรวจนำตัวแม่ของนายหมากออกจากห้องสอบสวนไปเข้าห้องน้ำ ทีมข่าวได้สอบถามแม่ของนายหมากถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยแม่ของนายหมากมีสีหน้าที่เครียด และเศร้าหมอง ทีมข่าวพยายามสอบถามว่าได้ยินเสียงปืนหรือไม่ เนื่องจากบ้านอยู่ติดกัน หากลูกชายถูกยิงน่าจะได้ยินเสียงปืน แม่ของนายหมากปฎิเสธตอบคำถาม

ทีมข่าวสอบถามต่อว่าแม่รู้ไหมว่าใครทำร้ายลูกชายแม่ อยากให้ตำรวจจับคนร้ายให้ได้ไหม แม่ของนายหมากพยักหน้า และบอกทีมข่าวว่า "แม่ไม่รู้ว่าใคร แต่อยากให้ตำรวจจับคนร้ายให้ได้" ก่อนที่ตำรวจจะคุมตัวเข้าห้องสอบสวนไป

 

 

ทีมข่าวทดสอบเสียงปืน โดยได้ใช้ปะทัดจุดทั้งหมด 2 ครั้ง โดยให้ทีมงาน จุดปะทัดบริเวณข้างบ้านที่เกิดเหตุ ส่วนนักข่าว ได้ยืนอยู่บริเวณที่บ้านอีกหลังที่อยู่ติดกัน โดยยืนในจุดที่นางตุ้ม น้าสาวและทุกคนในบ้าน ให้การว่าไม่ได้ยินเสียงปืน

ซึ่งทีมข่าวได้จุดเวลากลางคืนในช่วงเงียบสงบ ตามที่ตำรวจคาดว่าคนร้ายน่าจะก่อเหตุช่วงเวลากลางคืน ซึ่งระยะห่างบ้านทั้ง 2 หลัง ห่างกันประมาณ 40 เมตร ซึ่งจากการทดสอบพบว่า ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน เสียงปะทัดที่ทีมข่าวจุดจากบ้านที่เกิดเหตุ จะเสียงดังฟังชัดไม่มีทางที่ทุกคนในบ้านจะไม่ได้ยินเสียงปืน

ชาวบ้านอยู่ห่างจากบ้านที่เกิดเหตุไม่ถึง 500 เมตร ให้ข้อมูลกับทีมข่าวเช่นเดียวกันว่า ตนเองอยู่บ้านตลอดทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน ช่วงวันที่ 26-27 ส.ค. ยืนยันไม่ได้ยินเสียงปืนหรือเสียงปะทัดอะไรทั้งสิ้น ตกใจมากว่า ตอนเช้ามีคนมาพบศพสองผัวเมียถูกยิงตาย ตนเองไม่ใช่คนเดียวที่ไม่ได้ยินเสียงปืน แต่ชาวบ้านโดยรอบทั้งหมดก็ไม่ได้ยิน แปลกใจมากว่า คนร้ายใช้วิธีไหนทำให้ยิงทั้งสองผัวเมียแล้วไม่ได้ยินเสียงปืน

ส่วนนิสัยใจคอของนายหมาก เป็นคนใจร้อน อารมณ์รุนแรง ทำให้ชาวบ้านไม่ค่อยมีการกล้ายุ่งเท่าไหร่นัก ส่วนทั้งสองจะไปมีปัญหากับใครหรือไม่นั้นตนเองไม่ทราบ