กรณีพบศพหญิงเสียชีวิตปริศนาภายในห้องนอนบริเวณชั้น 2 ของบ้าน ในหมู่บ้านย่านคลองสิบสอง เขตหนองจอก กรุงเทพฯ ทราบชื่อคือ นางชุมแสง หรือ แสง ชวนนท์พร อายุ 57 ปี สภาพศพเสียชีวิตอยู่บนที่นอน มีผ้าห่มนวมคลุมอยู่ 2 ผืน เบื้องต้นแพทย์คาดว่าเสียชีวิตมาประมาณ 3 วัน เบื้องต้นผลชันสูตรศพ พบบาดแผลที่ศีรษะถูกกระแทกด้วยของแข็งอย่างรุนแรง
หลังเกิดเหตุ ด.ต.คณพัฒน์ หรือ ดาบยศ ผู้บังคับหมู่งานสืบสวน สน.ลำผักชี สามีของนางแสงหายตัวไป จนนำไปสู่การออกหมายจับในข้อหาเจตนาฆ่าผู้อื่น ตามที่มีการเสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันที่ 28 มิ.ย. 65 ที่ สน.ประชาสำราญ กรุงเทพมหานคร มีการคุมตัว ด.ต.คณพัฒน์ หรือ ดาบยศ ฝากขังชั่วคราวภายในโรงพัก โดยไม่อนุญาตให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปใกล้ห้องขัง ทราบว่ามีการจับกุมเจ้าตัวได้ภายหลังมีการออกหมายจับ ในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นบ้านญาติ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. เวลาประมาณ 13.00 น. จากนั้นได้มีการคุมตัวเดินทางมาที่ สน. ประชาสำราญ ซึ่งมาถึงที่โรงพักเมื่อเวลา 17.00 น.
ก่อนที่จะมีการสอบปากคำและให้มีการชี้จุดทิ้งของกลาง จุดเปลี่ยนรถหรือจุดที่หลบหนีออกจากพื้นที่ แต่ในการสอบปากคำนั้นก็เกิดขึ้นแบบเงียบ ๆ แม้กระทั่งครอบครัวของคนตายก็ไม่รับรู้ได้ว่ามีการจับกุมได้ที่ไหน อย่างไร ก่อนที่จะมีการสอบปากคำตลอดทั้งคืน แล้วนำตัวมาฝากขังชั่วคราวภายในโรงพัก ตลอดที่ทีมข่าวติดตามอยู่ที่โรงพักประชาสำราญ ไม่ได้มีญาติพี่น้องของฝั่งดาบยศเดินทางมาเยี่ยม
ภาพกล้องวงจรปิด สังเกตพฤติกรรมของดาบยศ เจ้าตัวใส่เสื้อสีขาว อยู่ภายในห้องขังชั่วคราวของโรงพักประชาสำราญ ก็ไม่ได้มีท่าทีเคร่งเครียด เพราะยังมีรุ่นน้องและเพื่อนตำรวจบางคนเข้าไปเยี่ยมและพูดคุยกับเจ้าตัวเป็นระยะ และในการพูดคุยกับรุ่นน้องที่เป็นตำรวจด้วยกัน ก็ยังสังเกตว่าเป็นการพูดคุยและสอบถามทั่วไป
ทีมข่าวเดินทางย้อนกลับไปที่หมู่บ้านย่านคลองสิบสอง เขตหนองจอก กรุงเทพฯ บ้านที่เกิดเหตุ ปกติบ้านหลังดังกล่าวจะอาศัยอยู่กัน 3 คน คือนางชุมแสง หรือ แสง, ดาบยศ คนก่อเหตุ แฟนใหม่ของนางชุมแสง และนางสาวณัฐธิดา ชวนนท์พร หรือ เจี๊ยบ อายุ 60 ปี พี่สาวคนตาย แต่หลังจากที่นางชุมแสงถูกฆ่าตาย ดาบยศหลบหนีจนกระทั่งถูกจับกลุ่มได้ในเวลาต่อมา บ้านหลังดังกล่าวจึงมีเพียงนางสาวณัฐธิดาอาศัยอยู่เพียงลำพัง
นางสาวณัฐธิดา พี่สาวของนางชุมแสง คนตาย พาทีมข่าวย้อนกลับไปดูที่ห้องครัวบริเวณหลังบ้าน บริเวณดังกล่าวมีลักษณะที่ล้างจาน ชุดทำครัว และมีหน้าต่างกระจก มีลักษณะลูกกรงเหล็กดัดติดอยู่ด้าน หากมองผ่านหน้าต่างออกไปจะเป็นต้นหญ้ารก เป็นจุดที่เจอวัตถุปริศนาคล้ายพลาสติกสีเหลืองติดคาอยู่ในต้นหญ้ารกทึบหลังระเบียงบ้าน
หลังจากที่ตนเองเจอวัตถุสีเหลืองตลาดที่อยู่ในต้นหญ้าหลังบ้าน ปรากฏว่าเมื่อวานนี้ช่วงบ่าย ได้มีตำรวจชุดสืบสวนนอกเครื่องแบบมาเต็มบ้านของตนเอง ตอนนั้นก็ตกใจ กระทั่งทราบว่ามีการเข้ามาหาของกลางเพิ่มเติม มีการโทรศัพท์พูดคุยกับปลายสาย ตนเองได้ยินเสียงช่วงหนึ่งเป็นเสียงของดาบยศ พูดถึงจุดที่มีการทิ้งของกลาง
เจ้าตัวสารภาพว่าหลังจากก่อเหตุแล้วได้มีการโยนค้อนสีดำด้ามสีเหลืองไว้ที่ต้นหญ้าหลังบ้าน หลังจากนั้นชุดสืบสวนก็ได้มีการรีบเก็บหลักฐานใส่ซองและออกไปจากบ้าน ตนเองได้ถามตำรวจว่า "จับผู้ต้องหาได้แล้วหรือ ทำไมถึงโทรศัพท์พูดคุยกันได้" ตอนนั้นตำรวจไม่บอกสักคำว่าจับได้แล้ว ได้แต่หันน่ามายิ้ม ตนเองจึงได้มีการสืบและหาข้อมูลเองจึงรู้ว่าตำรวจมีการคุมตัวผู้ต้องหาได้แล้ว แต่ไม่มีการบอกครอบครัวของผู้ตาย และไม่ปรากฏเป็นข่าว จึงได้แอบโทรหาอมรินทร์ทีวีเพื่อให้มาติดตามข่าว
นางสาวณัฐธิดา เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ช่วง 17.00 น. ภายหลังที่มีการขนของกลางคือค้อน ตนเองยังได้รับโทรศัพท์จากตำรวจเจ้าของคดี แต่ปลายสายได้มีการเปิดลำโพงให้พูดคุยกับตัวของดาบยศผู้ต้องหา ตำรวจอนุญาตให้ตนเองคุยกับดาบยศ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไม่ได้รู้สึกผิด บอกว่า "พี่เจี๊ยบ ผมขอโทษ" ตนเองได้ถามกลับไปยังดาบยศว่า "ทำไมถึงต้องก่อเหตุทำร้ายน้องสาวพี่แบบนี้" ตัวของดาบยศไม่ได้ตอบ
ตนเองก็มัวแต่ร้องไห้เพราะเสียใจหนัก ระหว่างนั้นตัวของดาบยศได้พูดสวนขึ้นมาว่า "ผมจะให้ตำรวจเข้าไปเอาสมุดบัญชี บัตรเอทีเอ็ม และตะกร้าเอกสารส่วนตัวที่อยู่ในบ้าน รบกวนให้ตำรวจเข้าไปเอาของที่เป็นทรัพย์สินของผมหน่อยนะครับ" ตนเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวทิ้งหลักฐานอะไรไว้ หรือต้องการเข้ามาเอาอะไรในบ้านของตนเอง ซึ่งในตะกร้ามีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับวุตการศึกษาและใบปริญญา ส่วนด้านล่างของตะกร้าปรากฏว่ามีพระเครื่องจากหลายสำนัก และเป็นเหรียญบูชาอีกหลายสำนัก ไม่ต่ำกว่าครึ่งตะกร้า
วันนี้ที่ทีมข่าวได้มีโอกาสเจอกับรุ่นน้องของดาบยศ ฝากขอโทษมายังครอบครัว รวมทั้งอ้างว่าดาบยศไม่ได้มีเจตนาฆ่า แต่เกิดจากการทะเลาะและบันดาลโทสะ ส่วนตัวไม่เชื่อตามคำกล่าวอ้าง ที่ผ่านมาในการคบหาเป็นผัวเมียกันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะทะเลาะ ตนเองได้ยินเสียงทะเลาะก็เคยเข้าไปห้าม หรือแม้แต่ตนเองนั่งอยู่ชั้นล่างได้ยินเสียงของน้องสาวโวยวายอยู่ชั้นบน ก็ยังได้ยินเสียงทุกครั้ง
จึงเป็นไปไม่ได้ที่อ้างว่าในคืนวันเกิดเหตุทะเลาะกัน แต่คนที่อยู่ในบ้านกลับไม่ได้ยินเสียง แล้วตนเองก็ไม่ได้ยินเสียงคนทะเลาะด้วยช้ำ เชื่อว่าการก่อเหตุครั้งนี้อาจจะเป็นเพราะความเครียดสะสม อาจจะใช้โอกาสในขณะที่น้องสาวตนเองนอนอยู่บนเตียงนอน แล้วใช้ค้อนด้ามสีเหลืองก่อเหตุเวลาประมาณตี 5
เมื่อเวลา 15.00 น. ตำรวจ สน.ประชาสำราญ กรุงเทพมหานคร ได้มีการติดต่อมายังนางสาวณัฐธิดา พี่สาวของคนตาย ในฐานะเจ้าของบ้าน แจ้งว่าจะมีตำรวจเข้าไปเอาทรัพย์สินส่วนตัวของดาบยศ ในบ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งในตอนนั้นก็ยังไม่ได้มีการแจ้งกับเจ้าของบ้านว่าจะพาผู้ต้องหามาด้วย ตำรวจสอบถามเจ้าบ้านว่าอยู่กับใคร นางสาวณัฐธิดาบอกว่าคนเดียว แต่ขอให้ทีมข่าวอยู่เป็นเพื่อนที่บ้าน เพราะมีความกังวลใจเกี่ยวกับชุดตำรวจที่จะเข้ามา
จนกระทั่งเวลา 15.20 น. มีรถตำรวจซึ่งเป็นรถสังกัดโรงพักประชาสำราญ ตำรวจยศ พ.ต.ท. และร้อยเวรเจ้าของคดี มาถึงก่อน โดยเข้าไปพูดคุยกับนางสาวณัฐธิดา ขณะที่ตำรวจยศ พ.ต.ท. กับร้อยเวรมาถึงยังไม่ทราบว่าทีมข่าวนั่งอยู่ภายในตัวบ้าน สั่งการให้รถสืบสวนซึ่งเป็นกระบะสีเทา 4 ประตูมาเทียบบริเวณหน้าบ้าน ตำรวจสังเกตเห็นว่าภายในบ้านมีนักข่าวอยู่ และทีมข่าวกำลังเริ่มบันทึกภาพ ปรากฏว่าตำรวจยศ พ.ต.ท. ได้มีการสั่งการให้ลูกน้องไม่ต้องพาตัวของผู้ต้องหาลงมาจากรถ ให้เข้าไปกลับรถท้ายซอย และขับออกไปจากหน้าบ้านที่เกิดเหตุทันที
ทีมข่าวสังเกตตอนแรกตัวของผู้ต้องหาใส่เสื้อสีขาว นั่งอยู่ตรงกลางของแคปหลัง เมื่อมีการกลับรถเพื่อจะออกไปจากหน้าบ้านที่เกิดเหตุ ผู้ต้องหาลดตัวลงนอนหลังติดเบาะ และหยิบเอาหมวกแก๊ปสีดำมาสวมปิดบังใบหน้า ซึ่งรถของชุดสืบรีบขับออกจากซอยที่เกิดเหตุด้วยความเร็ว จากนั้นตัวของตำรวจยศ พ.ต.ท. พร้อมด้วยร้อยเวรได้พาตัวของนางสาวณัฐธิดา เดินไปพูดคุยส่วนตัวบริเวณรถที่จอดรออยู่ และขับรถออกจากบ้านที่เกิดเหตุไปทันที ต่างจากการปฏิบัติกับผู้ต้องหาที่ไม่ใช่ตำรวบหรือไม่
จากนั้นนางสาวณัฐธิดาเดินกลับมาบอกกับทีมข่าวว่าตำรวจไม่ลงมาเอาหลักฐานแล้ว อ้างว่ามีนักข่าวอยู่ ทำไมตอนแรกบอกกับตำรวจว่าอยู่คนเดียว แต่มีนักข่าวมารออยู่ที่บ้านได้อย่างไร แต่ในขณะนั้นนางสาวณัฐธิดาไม่รู้ว่าในรถของชุดสืบสวนที่ขับตามหลังมามีตัวผู้ต้องหานั่งมาด้วย จึงทำให้เจ้าตัวมีความกังวลใจมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการปกป้องและช่วยเหลือผู้ต้องหาว่าเป็นตำรวจด้วยกันหรือไม่ และภายหลังที่มีการกลับออกไปจากบ้านที่เกิดเหตุ เบื้องต้นขณะนี้ยังไม่มีท่าทีว่าจะย้อนกลับมาอีกรอบ เพราะมีรถสายตรวจและตำรวจนอกเครื่องแบบแอบขับวนมาเป็นระยะ เพื่อสังเกตดูรถของทีมข่าวที่ไม่ได้เป็นอันตรายต่อคนบริสุทธิ์
Advertisement