จากกรณีการหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาของ นางนิด สังวรณ์ อายุ 60 ปี หญิงชาวจังหวัดลพบุรี ที่ถูกร้อยโทพิพัฒพงษ์ เงินลา หรือหมวดโย อายุ 36 ปี ทหารหนุ่มสังกัดกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 3 ลพบุรี อุ้มหายออกจากบ้าน ไปตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2565 ก่อนที่หมวดโยจะก่อเหตุรมควันฆ่าตัวตายในรถ ในวันที่ 12 เมษายน 2565 เพื่อหนีความผิดนั้น
ความคืบหน้าล่าสุดวันที่ 4 มิถุนายน 2565 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ออกจากบ้านไปตามหาคุณยายนิด ตามจุดที่ลุงรัตน์สงสัยอีกครั้ง จุดที่ 1 วันนี้ที่ลุงนิดเดินทางไปค้นหากับทีมข่าวเป็นรีสอร์ตร้าง
ทีมข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงน้ำแข็ง ในตำบลป่าตาล เขตอำเภอเมืองลพบุรี จับภาพได้โดยจะเห็นหมวดโยลงจากรถและคล้ายกับทิ้งอะไรบางอย่างใช้เวลาไม่นานและขับรถออกไป จุดนี้อยู่ห่างจากรีสอร์ตร้างที่ลุงรัตน์ และทีมข่าวเดินทางไปค้นหาวันนี้เพียง 200 เมตรเท่านั้น
ลุงรัตน์ให้ข้อมูลว่า รีสอร์ตร้างแห่งนี้มีพื้นที่กว่า 15 ไร่ มีทั้งบ่อน้ำ ตัวอาคารร้าง หญ้าขึ้นรก และไม่มีใครเข้ามาดูแลนานมากแล้ว เป็นจุดที่ลุงรัตน์สงสัย เพราะอยู่ใกล้จุดที่หมวดโยลงจากรถที่สุด ซึ่งเป็นไปได้หรือไม่ว่า หมวดโยหลังก่อเหตุทำร้ายยายนิดแล้ว นำศพมาขุดฝัง หรือโบกปูนโยนทิ้งน้ำ ซึ่งหากหมวดโย ขับรถกระบะเข้ามาในรีสอร์ตแห่งนี้ ก็แทบไม่มีชาวบ้านหรือใครเห็น เนื่องจากเป็นพื้นที่ปิด มีป่าล้อมรอบ และค่อนข้างเปลี่ยว
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี และลุงรัตน์เดินค้นหาทั้งในตัวอาคารของรีสอร์ตใต้ตัวอาคาร บ่อน้ำรอบรีสอร์ต รวมไปถึงตามแนวกำแพงรอบรีสอร์ตเพื่อหมวดโยอาจจะฝังยายนิดไว้แถวนั้น แต่ก็ยังไม่พบเบาะแส ซึ่งระหว่างการเดินค้นหาด้วยความที่พื้นที่รีสอร์ตเป็นป่าและมีต้นไม้มีหนามจำนวนมาก ทำให้ลุงรัตน์สะดุดล้มขาไปถูกแท่งปูน และไม้มีหนามเกี่ยวจนได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าซ้ายจนเลือดออก ทีมข่าวจึงขอให้ลุงรัตน์พักก่อนวันนี้ แต่ลุงรัตน์บอกว่า "ไม่เป็นไร ผมไหว เราไปหากันต่อเถอะ"
ลุงรัตน์ได้พาทีมข่าวไปค้นหาในจุดที่ 2 มีชาวบ้านให้ข้อมูลกับลุงรัตน์ว่า วันที่ 11 เมษายน เห็นรถกระบะของหมวดโยขับเข้ามาในซอยบ้าน ทีมข่าวจึงเดินทางไปหา เราได้พูดคุยกับ นางปทิตตา ใจดี อายุ 39 ปี ชาวบ้านที่เห็นรถของหมวดโยขับผ่านหน้าซอยบ้าน เวลาประมาณบ่ายโมงกว่าของวันที่ 11 เมษายน ซึ่งขนาดนั้นตนเองกำลังตากผ้าอยู่บริเวณหน้าบ้าน ตนเองจำทะเบียนรถของหมวดโยได้แม่น คือเลข 7171 ป้ายทะเบียนมีสีสันสวยงาม
หลังจากลุงรัตน์ได้พูดคุยกับชาวบ้านที่ให้ข้อมูลแล้วนั้น ลุงรัตน์จึงเดินทางไปจุดบ้านร้าง และบ่อน้ำที่ชาวบ้านให้ข้อมูลกับทีมข่าวต่อ จุดที่ 2 จุดนี้ เป็นบ้านร้างหลังแรก ที่อยู่ห่างจากบ้านของชาวบ้านที่ให้เบาะแสไม่ถึง 50 เมตร เป็นบ้านร้างที่มีชาวบ้านให้ข้อมูลว่า เห็นรถกระบะของหมวดโยมาจอดติดเครื่องอยู่สักพัก เมื่อเข้าไปตรวจสอบในบ้านร้าง พบว่าเป็นบ้านไม้ 1 ชั้น สภาพเก่าถูกทิ้งร้างมานาน บริเวณโดยรอบเป็นป่ารก แต่จากการเดินสำรวจยังไม่พบเบาะแส
จุดที่ 3 เป็นบ้านร้างอีกหนึ่งหลัง อยู่ห่างจากบ้านร้างหลังแรกประมาณ 300 เมตร บ้านหลังนี้ ลุงรัตน์ ญาติ ๆ และทีมข่าว ได้เดินทางไปตรวจสอบเช่นกัน มีลักษณะเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น บริเวณด้านบนบ้าน เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ทิ้งอยู่บนบ้านเป็นเวลานั้น บริเวณโดยรอบเป็นป่ารก ก็ยังไม่พบเบาะแส
จุดที่ 4 เป็นจุดที่บริเวณบ่อน้ำขนาดใหญ่ อยู่ห่างจากบ้านร้างจุดที่ 3 ประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นถนนดิน จุดนี้เป็นอีกจุดที่ลุงรัตน์ก็สงสัย เนื่องจากมีชาวบ้านให้ข้อมูลว่า บ่อน้ำตรงนี้เป็นบ่อขุดที่โรงสีในพื้นที่ใช้รถแบ็กโฮมาขุดดิน ทำให้มีความลึกกว่า 10 เมตร ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่บอกว่า หากหมวดโยขับรถกระบะมาจุดนี้และนำร่างของยายนิดห่ออย่างดี และเอาสิ่งของหนักถ่วงและนำร่างโยนทิ้งในบ่อน้ำนี้ ก็จะไม่มีใครตามหาเจอ และจุดนี้ก็ไม่มีชาวบ้านผ่านไปผ่านมาและไม่มีกล้องวงจรปิดด้วย
และจุดที่ 5 จุดสุดท้ายบริเวณบ้านร้าง ที่ทีมข่าวเคยเดินทางไปแล้ว ซึ่งจุดนี้เคยมีชาวบ้านเห็นรถของหมวดโย ขับกระบะมาจอดอยู่ที่บ้านร้างตรงนี้เป็นเวลานานเกือบชั่วโมง ซึ่งภายในบ้านพบแก้วน้ำพลาสติก กองฟาง และถ่าน ลุงรัตน์เชื่อว่าหมวดโยอาจนำยายนิดมาฝังหรือถ่วงน้ำจุดนี้ก็เป็นไปได้เช่นกัน และบ้านร้างจุดนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากบริเวณหน้าเทศบาลตำบลตลาดแก้วที่หมวดโยขับรถผ่านอีกด้วย
ลุงรัตน์ บอกว่า อีกหนึ่งประเด็นที่ตนเองยังคงคาใจอยู่จนถึงทุกวันนี้โดยตนเองนั้นสงสัยว่าเมียของหมวดโยนั้น มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการหายตัวไปของเมียตนเองหรือไม่ ในคืนวันที่ 11 เมษายน เวลาประมาณ 5 ทุ่ม หลังจากตนเองทราบข่าวว่า หมวดโยเดินทางไปรับตัวยายนิดออกมาจากบ้าน และเมียหายตัวไป ตนเองและครอบครัวได้เดินทางไปที่บ้านของหมวดโย เพื่อตามหาเมียตนเอง แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าบ้านหมวดโยไม่มีใครอยู่บ้านสักคน ตนเองพยายามตะโกนเรียกก็ไม่มีใครออกมา จากนั้นลูกสาวตนเองที่มาด้วยจึงยกโทรศัพท์ถ่ายรูปบ้านของหมวดโยไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งตนและครอบครัวทุกคนที่มาด้วยคืนนั้น ไม่เห็นรถเก๋งฮอนด้าซิตี้ของเมียหมวดโยจอดอยู่ในบ้าน มีเพียงแต่รถของหมวดโยถูกจอดอยู่เท่านั้น
จากนั้นเมื่อไม่พบใครที่บ้านหมวดโย จึงเดินทางกลับและได้เดินทางมาอีกครั้งในรุ่งเช้าวันที่ 12 เมษายน แต่เมื่อมาถึงกลับพบว่า รถเก๋งของเมียหมวดโย กลับถูกนำมาจอดอยู่ภายในโรงจอดรถ ใกล้กับรถกระบะของหมวดโย จึงพยายามสอบถามหมวดโย และทุกคนในบ้านว่า เอาเมียตนเองไปไหน หมวดโยขณะนั้นบอกเพียงว่า “ผมพาไปส่งแล้ว ๆ” ตนเองจึงขอให้ตำรวจพาหมวดโยไปคุยต่อที่โรงพัก ก่อนที่ระหว่างหมวดโยจะขับรถหนีไปรมควันฆ่าตัวตาย ตนเองพยายามสอบถามคนในบ้านหมวดโยว่า รถเก๋งฮอนด้าเมียหมวดโย หายไปไหนช่วงคืนวันที่ 11 เมษายน และตั้งข้อสังเกตว่าหมวดโย และเมียอาจจะมีการย้ายศพยายนิดในคืนวันที่ 11 เมษายนหรือไม่ ซึ่งตนเองเคยนำเรื่องนี้ไปถามตำรวจแล้ว ตำรวจกลับบ้านว่า “เมียหมวดไม่ได้ออกไปไหนคืนวันที่ 11 เมษายน” ตนเองจึงถามตำรวจว่า แล้วรถเก๋งเมียหมวดโยมาจอดรุ่งเช้าวันที่ 12 เมษายนได้ยังไง ตำรวจเอาแต่เงียบ ไม่ได้ตอบคำถาม
นอกจากนี้ ลุงรัตน์ยังเชื่อว่าหมวดโยก่อนจะลงมือก่อเหตุฆ่าเมียตนเองนั้นน่าจะมีการวางแผนเตรียมการมาอย่างดี เพราะก่อนจะเกิดเหตุ 10 เมษายน หมวดโยติดโควิด-19 ไม่ได้ไปทำงาน โดยวันที่ 11 เมษายน หมวดโยจะกักตัวครบวันที่ 10 พอดี ซึ่งหมวดโย เอาเวลาที่กักตัวคิดวางแผน และอาจจะไปแอบขุดดิน หรือเตรียมอุปกรณ์ในการทำลายศพเมียตนเองอยู่ก็ได้ ก่อนจะลงมือก่อเหตุวันที่ 11 เมษายน คำถามที่ยังไม่มีคำตอบพวกนี้ ตนเองยืนยันจะหาคำตอบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมียตนเอง "ผมจะไม่ท้อ ผมจะไม่หยุด ผมต้องรู้ให้ได้ว่าหมวดโยมันทำอะไรกับเมียผม ผมพูดจริง ๆ คนแบบมันไม่เคยสำนึกบุญคุณคน มันเป็นทหาร ทำแบบนี้มันเสียเกียรติทหารมาก"
แม่หมวดโย อ้างว่า ตนเองนั้นไม่รู้มาก่อนเรื่องที่ลูกชายไปหยิบยืมเงินของยายนิดมาออกรถและสร้างบ้าน และบอกว่าเงินที่สร้างบ้าน ลูกชายเอาเงินมาถมที่ดิน ก็เป็นเงินของตนเอง ไม่ใช่เงินของยายนิด ส่วนเรื่องที่คืนวันที่ 11 เมษายน หมวดโยและนางจิ๊บ ลูกสะใภ้ อยู่ที่ไหนคืนนั้น ยืนยันว่าหมวดโยและเมียอยู่ที่บ้านตลอดทั้งคืนไม่ได้ออกไปไหน
ทีมข่าวจึงถามต่อว่าแล้วรถเก๋งของนางจิ๊บลูกสะใภ้หายไปไหนคืนนั้น แม่หมวดโย ยืนยันว่ารถทุกคันยังจอดอยู่ที่โรงรถ เรียงกันเป็นแถว ญาติยายนิดที่มาหามองไม่เห็นเองหรือเปล่า เช่นเดียวกันช่วงเวลาที่ลูกชายตนเองติดโควิด-19 ต้องกักตัวที่บ้านเป็นเวลา 10 วัน ลูกชายไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน และลูกชายไม่ได้เครียด หรือระบายอะไรให้ตนเองฟัง เสียใจเหมือนกันที่ลูกชายทำแบบนี้
Advertisement