จากกรณีนายไกรสร กองฉลาด ผวจ.ชัยภูมิ พร้อมด้วยนายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือหมอปลา นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และตำรวจ บุกเข้าตรวจสอบสำนักฤๅษีประหลาด ตั้งอยู่ในที่สาธารณะหมู่บ้าน กุดแคน หมู่ 2 ต.ดงกลาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เปิดรับรักษาโรคทุกชนิด โดยการรักษาให้ผู้ป่วยกินปัสสาวะ กินอุจจาระ กินเสมหะ และขี้ไคล รวมถึงยาที่ดองไว้นับ 100 โอ่งมังกรให้กินเป็นยารักษาโรคต่าง ๆ รวมถึงโควิด-19 ให้กับคนที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศ
จากการเข้าตรวจสอบภายในสำนักฯ เจอร่างผู้เสียชีวิตถึง 11 ราย บรรจุอยู่ในโลงศพ อ้างรอการขึ้นสวรรค์ ก่อนคุมตัวนายทวี หนันรา อายุ 75 ปี อ้างเป็นเจ้าสำนักฯ ไปสอบสวนแล้วนั้น
ล่าสุด วันที่ 9 พ.ค. 65 ตั้งแต่ช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง แพทย์ และอาสาสมัครกู้ภัย ได้วางแผนเพื่อนำศพที่ซุกซ่อนอยู่ภายในสำนักรวม 11 ศพ มาตรวจสอบว่าเป็นศพของผู้ใดบ้าง โดยจากการตรวจสอบพบว่ามีศพจำนวน 11 ศพ ถูกซุกซ่อนอยู่ภายในสำนักแห่งนี้จริง แต่ละศพอยู่กระจัดกระจายกันรอบพื้นที่ 31 ไร่ เป็นพื้นที่ของสำนักฯ
เจ้าหน้าที่ได้แบ่งกำลังไป 3 ชุดหลักคือ ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน เก็บหลักฐานในสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ แพทย์นิติเวช ชันสูตรศพ 11 ศพ และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทำการตรวจรางวัดพื้นที่บุกรุกป่าสาธารณะ
เมื่อเข้าไปในพื้นที่ แพทย์ประจำโรงพยาบาลคอนสาร พร้อมพนักงานสอบสวน ให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยเปิดโลงศพทีละโลงศพ ก่อนที่ทำการชันสูตรศพตามขั้นตอน แบ่งเป็น ศพที่ 1 คือ ศพที่ถูกเก็บไว้ในโลงที่โบกปูน ทราบชื่อว่า พ่อกา อายุ 120 ปี เป็นศพแรกที่ถูกเก็บไว้ที่สำนัก จากการสอบถามลูกศิษย์ คือคนที่บุกเบิกสำนักแห่งนี้ก่อตั้งเมื่อปี 2537 และเป็นคนชักชวนให้นายทวี พระบิดา ซึ่งบวชเป็นพระ เดินทางมาอยู่ที่สำนักและดูแลต่อ จากนั้นได้เสียชีวิตลงเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
ศพที่ 2 ถึง 6 ถูกเก็บไว้ภายในศาลาใหญ่เป็นที่นอนของพระบิดา มุ้งสีเขียว มีโลงศพอยู่ข้างที่นอนพระบิดา ทั้งหมด 5 ศพด้วยกัน โดย 2 ใน 5 ศพที่อยู่ในโลงนั้น คือ ศพแม่ของนายอำนาจ อายุ 83 ปี ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคชรา และศพของเด็กชายจันทร อายุ 1 ขวบ 17 วัน ถูกบรรจุไว้ในถังสีน้ำเงิน
ศพที่ 7 เจ้าหน้าที่ไปพบว่าอยู่บริเวณ บ้านหลังถึงด้านหลังของสำนักพระบิดา ซึ่งเป็นที่ทำพิธี ศพเป็นชาย โดยข้อมูลจากชาวบ้านบอกว่าศพชายคนนี้ถูกซ่อนไว้ภายในบ้าน ครอบครัวได้สร้างบ้านให้ศพอยู่เท่านั้น ไม่มีใครอยู่ด้วย
ศพที่ 8 และ 9 เจ้าหน้าที่ไปพบอยู่บริเวณกระท่อมฝั่งตรงข้ามศาลาใหญ่ที่นอนของพระบิดา โดย 2 ศพนี้เป็นศพผู้ชาย 1 หญิง 1 ถูกตั้งโลงวางคู่กัน และมีถังแกลลอนน้ำ 2 ถัง ถูกเจาะเป็นรู เพื่อเจาะจากโลงเอานำเหลืองออกอีกด้วย
ศพที่ 10 อยู่บริเวณใกล้กับห้องน้ำริมทางออกสำนักฯ โดยศพนี้เป็นศพผู้หญิง ถูกซ่อนอยู่บริเวณหลังบ้าน ญาติผู้ตายได้นำที่สำหรับเก็บโลงศพไว้พร้อม
และศพที่ 11 อยู่บ้านหลังที่ไกลสำนักที่สุด คือศพของผู้ชาย ชื่อ ตาดวง อายุ 45 ปี โลงศพถูกตั้งไว้ภายในกระท่อม และในห้องนอน สอบถามที่ทราบว่าเสียชีวิตจากโรคพิษสุราเรื้อรัง
ด้านตำรวจพิสูจน์หลักฐานเก็บหลักฐาน เก็บหลักฐานโดยรอบสถานปฏิบัติธรรมทั้งหมด โดยเฉพาะบริเวณจุดที่ลูกศิษย์บอกว่าไว้เข้าเฝ้าพระบิดา และเป็นจุดที่พบมีบ่อน้ำลาย เสมหะ และบ่อฉี่ของพระบิดาที่เอาไว้ให้ลูกศิษย์กิน รวมถึงที่เก็บก้นบุหรี่ของพระบิดา ซึ่งจะถูกนำไปเป็นหลักฐานสำคัญในการใช้ดำเนินคดีกับพระบิดา
ส่วนเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ใช้ GPS รางวัดบริเวณป่าชุมชน หรือพื้นที่สาธารณะที่พระบิดาเจ้าลัทธิแห่งนี้นำมาใช้อ้างเป็นสถานปฏิบัติธรรม พบว่ามีการบุกรุกพื้นที่สาธารณะประมาณ 27 ไร่ นอกจากนั้น ยังพบว่าในพื้นที่สถานปฏิบัติธรรมมีการทำการเกษตรปลูกต้นกันชงเลี้ยงเป็ดไก่วัวและกวาง การตรวจค้นยังพบน้ำมันเลียงผาถูกบรรจุอยู่ในกระติกน้ำสีแดงใกล้ที่นอนพระบิดา ภายในศาลาใหญ่ด้วย
บรรยากาศที่ สภ.คอนสาร เมื่อเวลา 12.00 น. มีการนำตัวพระบิดาไปฝากขังที่ศาล ตำรวจได้นำตัวพระบิดาออกมาสอบปากคำพิมพ์ลายนิ้วมือและเซ็นเอกสารอีกครั้ง ทันทีที่พระบิดาก้าวเท้าออกมาจากห้องขัง
ทีมข่าวได้มีโอกาส สอบถามกับพระบิดาว่ารู้สึกอย่างไรบ้างที่ต้องนอนในห้องขัง อยากจะฝากอะไรถึงลูกศิษย์หรือไม่ ถ้าหากต้องเข้าไปติดคุกในเรือนจำ
พระบิดา บอกว่า "สำหรับการมานอนในห้องขัง ก็รู้สึกดี เหมือนได้มานอนในบ้านใหม่ ไม่กลัวติดคุก เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ใครบอกว่ารู้ล่วงหน้า ไม่เคยพูดกับใคร จะหนีทำไม ไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่กลัวว่าเจ้าหน้าที่จะรื้อลัทธิทิ้ง ไม่มีอะไรจะฝากถึงลูกศิษย์ เรื่องการฝากศพไม่ขอพูด แล้วก็เดินเข้าห้องขังไป" ล่าสุด พระบิดาได้รับการประกันตัวแล้ว ในวงเงิน 50,000 บาท
Advertisement