กรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักการเมืองชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ระบุว่า "พรรคจิ๋xกับ_ พรรคนี้มีแต่เรื่องแปลก ๆ บอกว่าต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ แต่กลับร่วมหัวจมท้าย เริงร่าอ้าซ่าอล่างฉ่าง ผู้ใหญ่พรรคก็ไปขโมยเมียเพื่อนมาครอง ที่ได้เป็นตัวเป็นตนก็ทอดทิ้ง แล้วนี่ยังมีเรื่องข่มขืนลวนลามอีกนับสิบ เรียงคิวกันมาแจ้งความเป็นแถว จริยธรรมไม่มี จริยเพศไม่สน มีแต่เรื่องพัวพันใต้สะดือ จิ๋xกับจู๋ มั่วกันไปหมด บอกแล้วไง เวรกรรมไม่ช้าก็เร็ว มันมาในหลายรูปแบบ ทำหน้าได้งง ๆ ซื่อ ๆ ตามสไตล์ ผู้ใหญ่พรรคสอนเอาไว้ นี่หากผู้หญิงเขาไม่เจ็บใจ ไม่แบกหน้ามาแจ้งความหรอกครับ
เรื่องพรรค์นี้กับพรรคอย่างนี้ คงรู้ตัว ต้องโดนตัดหางปล่อยวัดตามฟอร์ม กว่าตำรวจจะใจถึงยื่นศาลขอออกหมายจับ เจ้าตัวคงหายงง ตั้งหลักได้ โต้เป็นฉาก ๆ พรรคนี้เก่าแต่ชื่อ แต่ของพรรค์นี้ไม่เก่าเลย นี่หากเป็นลูกชาวบ้านตาสีตาสา ป่านนี้ได้เอาไปนั่งแถลงข่าวแล้ว อย่าคิดไปเปลี่ยนเลยกรุงเทพฯ เปลี่ยนสันดานคนในพรรคให้ได้ก่อนเถอะครับ"
หลังจากนั้น นายบุญยอด สุขถิ่นไทย อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า “ชูวิทย์” ไม่ควรวิจารณ์คนอื่นเรื่อง “จริยเพศ??” ตักน้ำใส่ “อ่าง” ชะโงกดูเงาตัวเองก่อน!!!"
ล่าสุดวันที่ 16 เม.ย. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้พูดคุยกับพิธีกร และนักแสดงชื่อดัง “บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” ประธานองค์กรทำดี ซึ่งเป็นมักจะออกมาเคลื่อนไหว เพื่อช่วยเหลือสังคมในหลาย ๆ ด้าน รวมถึงยังเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้เสียหายจากกรณีการถูกละเมิด และข่มขืนกระทำชำเราอีกมากมาย
บุ๋ม ปนัดดา เปิดเผยว่า จากที่ตนทราบข่าวนั้น ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจ เพราะคู่กรณีเป็นนักการเมือง และยังเคยทำแคมเปญรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงเกี่ยวกับสตรี นอกจากนี้ ยังสร้างความตกใจให้กับตน เพราะมีผู้หญิงตกเป็นผู้เสียหายหลายราย หลังจากนี้จะต้องพิสูจน์กันตามกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล
ทั้งนี้ หลายคนมองว่าผู้เสียหายเพิ่งจะมาเอาผิดคู่กรณีในเวลานี้ แล้วแบบนี้จะสามารถจัดการกับคู่กรณีได้หรือ อาจจะดำเนินการคล้ายกับเคสหนึ่งที่ตนเคยเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้เสียหาย เกี่ยวกับกรณีของสูตินารีแพทย์ นครสวรรค์ ที่มีผู้เสียหายรายหนึ่งเข้ามาแจ้งความ ส่วนผู้เสียหายรายอื่น ๆ นั้น ได้เกินอายุความไปแล้ว เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผู้หญิงเราทุกคนจะต้องเรียนรู้ เช่น เมื่อเกิดเรื่องจะต้องเข้าแจ้งความภายใน 90 วัน โดยสิ่งแรกที่ต้องทำคือการตรวจร่างกายและเก็บหลักฐานเอาไว้ก่อน หากยังไม่แน่ใจว่าจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่นั้น อีกหนึ่งทางคือสามารถมาร้องทุกข์ผ่านตน ซึ่งที่ผ่านมาจากเคสที่ตนดำเนินการจะไม่มีการเปิดเผยตัวตนของผู้เสียหาย เพื่อเป็นการปกป้องอย่างเต็มที่ เพียงแต่ว่าส่วนหนึ่งผู้เสียหายจะมีความกลัวและกังวลว่าคู่กรณีจะมีอิทธิพล หรือมีฐานะทางการเงินที่จะสู้คดี
"แต่สมัยนี้สื่อมีอิทธิพลมากขึ้น สามารถเข้ามาช่วยในการหาความยุติธรรมมากขึ้น หากเทียบกับกรณีของสูตินารีแพทย์ที่กล่าวถึงในข้างต้น ก็อาจจะดำเนินการเอาผิด โดยให้ผู้เสียหายรายอื่น ๆ ที่หมดอายุความไปแล้ว มาร่วมเป็นพยานบุคคล พยานสิ่งแวดล้อม เพื่อบอกเล่าถึงพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของคู่กรณี และจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและศาลจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย บุ๋มอยากจะฝากถึงผู้เสียหายหรือผู้ถูกกระทำจากกรณีดังกล่าวหรือกรณีอื่น ๆ ว่า ให้ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม แม้ว่าเรื่องจะผ่านมานานแค่ไหนก็ตาม อย่าไปกลัว ซึ่งทุกคนพร้อมปกป้องคุณเต็มที่" ประธานองค์กรทำดี กล่าวทิ้งท้าย
Advertisement