กรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อเยาวชนและสังคม ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กว่า หญิงสาวอายุ 18 ปี เข้ามาปรึกษาข้อกฎหมายเพื่อให้เอาผิดนักการเมืองคนหนึ่ง เนื่องจากหญิงสาวคนดังกล่าวอ้างว่าถูกลวนลาม ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้แม่ของนางสาวนุ้ย (นามสมมติ) อายุ 18 ปี ผู้เสียหาย ได้ติดต่อน้องเรียนทางไลน์แอดของตัวเอง โดยปรึกษาว่านางสาวนุ้ย ลูกสาวของเขา ได้ถูกนักการเมืองดัง ตัวเองจึงได้พูดคุยกับผู้เสียหาย และแม่ของเขามา ซึ่งเล่าว่าก่อนขะเกิดเหตุผู้เสียหายและแม่ เขาได้ไปอบรมโครงการหนึ่ง ซึ่งมีผู้มีชื่อเสียงระดับประเทศ เป็นคนให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐศาสตร์ กระทั่งได้รู้จักกับนักการเมืองคนดังกล่าว และมีการขอคอนแท็กกันไว้
โดยแม่ของผู้เสียหาย มีความตั้งใจอยากให้ลูกสาวเรียนรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์เพื่อพัฒนาประเทศชาติ จึงได้มีการโทรหานักการเมืองคนดังกล่าว และมีการนัดเจอกันที่ร้านอาหารบนดาดฟ้า ในโรงแรมหนึ่งย่านสุขุมวิทซอย 11 ซึ่งแม่ของผู้เสียหาย ก็ไว้ใจที่จะให้ลูกสาวไปเจอกับนักการเมืองคนดังกล่าว เพื่อพูดคุยเรื่องเศรษฐศาสตร์ ซึ่งผู้เสียหายก็มีความคาดหวังว่าการเจอนักการเมืองคนนี้ จะทำให้ได้ความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ และการลุงทุน
กระทั่งวันที่ 11 เม.ย. 65 เวลา 17.30 น. นางสาวนุ้ย ผู้เสียหาย ได้ไปเจอกับนักการเมืองดังกล่าวที่ร้านอาหารบนดาดฟ้าของโรงแรม พอไปเจอตัว นักการเมืองคนนั้นก็ไม่มีการพูดถึงเรื่องงาน แต่กลับพูดถึงแต่เรื่องเพศอย่างเดียว รวมถึงถามว่า "น้องเคยมีอะไรกับใครไหม" พอผู้เสียหายเผลอ นักการเมืองคนนี้ก็จับมือผู้เสียหายไปหอม และขณะที่ผู้เสียหายลุกไปเข้าห้องน้ำ นักการเมืองรายนี้ก็เดินตามไปจับก้น พร้อมกับใช้มือลูบก้นอีกด้วย ถึงขั้นหอมและจูบปากผู้เสียหายอีกด้วย ทั้งที่ผู้เสียหายไม่ยินยอมแต่อย่างใด
หลังเกิดเหตุเวลาประมาณ 19.00 น. นักการเมืองคนดังกล่าวได้ขับรถไปส่งผู้เสียหายที่ MRT แห่งหนึ่ง iะหว่างที่ขับรถส่งผู้เสียหายนั้น นักการเมืองรายนี้ก็ได้ร้องเพลงจีบผู้เสียหาย พร้อมกับทั้งพยายามดึงมือผู้เสียหายมาหอม ทนายตั้มยังบอกว่าได้ถามผู้เสียหายแล้วว่าทำไมยอมนั่งรถไปกับเขา ผู้เสียหายก็บอกว่าแม่ของเขาเคยปลูกฝังไม่ให้นั่งวินมอเตอร์ไซค์ เพราะกลัวอุบัติเหตุ เขาจึงต้องยอมให้นักการเมืองขับรถมาส่ง หลังจากฟังเรื่องราวดังกล่าว ตัวเองก็ได้แนะนำให้แม่ของผู้เสียหายพาผู้เสียหายไปแจ้งความ ซึ่งก็ได้ไปแจ้งความตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
สำหรับจุดเกิดเหตุ ที่เป็นร้านอาหารบนดาดฟ้านั้น น้องผู้เสียหายไม่ได้อยู่กับนักการเมืองเพียงลำพัง แต่ส่วนใหญ่ลูกค้าในร้านอาหาร จะเป็นชาวต่างชาติ ตอนนี้สภาพจิตใจผู้เสียหายย่ำแย่มาก ร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง และหลังจากเกิดเหตุ ทางนักการเมืองดังกล่าวก็พยายามติดต่อมาพูดคุยกับน้องผู้เสียหาย เพื่อจะขอโทษ ยืนยันว่าหลังจากนี้ทางผู้เสียหายจะยืนยันให้ถึงที่สุด เพราะคดีนี้เข้าข่ายอนาจาร โทษจำคุก 10 ปี
นางสาวจอย (นามสมมติ) อายุ 30 ปี เหยื่ออีกราย กล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 56 สมัยที่ตนยังเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ได้เจอกับผู้ชายคนนี้ที่งานอีเวนต์แห่งหนึ่ง จึงแลกเบอร์โทรศัพท์กัน และฝ่ายชายก็โทรมาคุย ชักชวนหลายครั้งเพื่อนัดเจอกัน กระทั่งไปเจอกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง และเขาก็บอกกับตนตรง ๆ ว่า "ขอเลี้ยงดู" แต่ตนก็ได้ตอบปฏิเสธไป จากนั้นเวลาผ่านไปเกือบปี เขาก็ยังติดต่อมาเรื่อย ๆ อ้างว่าจะชวนไปทานข้าว
ขณะที่อยู่บนรถ เขาบอกว่าขอแวะเข้าออฟฟิศ จากการสังเกตภายนอกก็เหมือนสำนักงานทั่วไป และตนก็ได้เดินตามเขาเข้าไปด้วย ทันใดนั้นเขาก็ผลักเข้าไปในห้องและล็อกทันที เขาพยามยื่นข้อเสนอทั้งให้เงิน ให้รถ แต่ตนก็ปฏิเสธ เขามักจะขู่ว่า "ตำรวจจะทำอะไรได้ รู้ไหมพ่อผมคือใคร" ซึ่งก็ทำให้ตนกลัวไม่กล้าบอกใครจนเป็นโรคซึมเศร้า เมื่อแม่ของตนรู้ก็ใจสลาย ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับตน ส่วนสามีของตนก็เพิ่งทราบเรื่องเช่นกัน
"ถึงวันนี้เราอยากให้สังคมได้รับรู้ความเป็นตัวตนจริง ๆ ของผู้ชายคนนี้ และในวันที่ทุกคนได้เชื่อในสิ่งที่เราพูดแล้ว ทำให้คลายปมในใจและขอบคุณพี่ทนายที่เข้ามาช่วยเหลือ" นางสาวจอย กล่าว
Advertisement