กรณีพระกมล เฟื่องอักษร อายุ 35 ปี พระลูกวัดเกาะพญาเจ่ง ต.ปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ถูกคนร้ายใช้ก้อนหินทุบศีรษะจนได้รับบาดเจ็บ กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด จับกุมไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 31 ธ.ค.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชายคลั่งรายนี้ออกจากคุกมาก่อเหตุซ้ำ เนื่องจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก “วราวุฒิ สังข์ทอง” โพสต์ภาพแจ้งว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมชายคลั่งรายหนึ่งได้ พร้อมระบุข้อความสำคัญว่า “พี่ ๆ น้อง ๆ ยังจำเขาคนนี้ได้ไหม ที่เคยใช้หินทุบหัวพระ ล่าสุดเอามีดจี้ชิงโทรศัพท์มือถือ แล้ววิ่งหนีลงแม่น้ำเจ้าพระยา ชาวบ้านเอือมทนพฤติกรรมทำผิดซ้ำซากไม่ไหว อยากให้เจ้าที่ตำรวจเพิ่มโทษหนัก”
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี จึงเดินทางไปพูดคุยกับ นายวราวุฒิ สังข์ทอง เจ้าของโพสต์ กล่าวว่า ในวันที่เกิดเหตุตนไม่ได้อยู่บ้าน ลูกชายส่งคลิปมาให้ตนดู พร้อมอธิบายว่ามีชายคลั่งชื่อ “เอก” ไปก่อเหตุใช้มีดจี้ชิงโทรศัพท์มือถือจากพนักงานร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง วิ่งหนีตำรวจโดยได้กระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยาซ้อนตัวใกล้บ้านของตน อีกทั้งตนได้ยินมาว่าชายคลั่งเพิ่งออกจากคุกได้ 2 วันก็มาก่อเหตุซ้ำอีกแล้ว
ทั้งนี้ ตนก็เคยโดนนายเอก ใช้มีดไล่ฟันเช่นกัน ในวันเกิดเหตุตนขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านกับแฟนกลางดึก นายเอก จะชอบมายืนในที่มืดและเปลี่ยว ขณะที่ตนขับรถผ่านมา นายเอก ก็ชักมีดออกมาจะฟันแฟนของตนจึงร้องโวยวาย ตนก็หันไปดูและต้องรีบขี่รถพาแฟนหลบหนี
"พฤติกรรมนายเอก ก่อเหตุลักษณะนี้บ่อยมาก ๆ จนชาวบ้านในชุมชนเอือมระอา ชาวบ้านก็ผวาและกังวลกันมาก ต้องระวังตัวกันเอาเอง ผมคาดว่านายเอกน่าจะเสพยาจนเพี้ยนครับ โดนตำรวจไล่จับ แป๊บเดียวก็ออกจากคุกมาอีก เหตุมันซ้ำซากมาก ๆ ผมก็อยากจะให้ตำรวจดำเนินคดีหนัก จับขังคุกนาน ๆ ไปเลย จะได้ไม่ก่อความเดือดร้อนรำคาญให้อีก" นายวราวุฒิ ผู้โพสต์ กล่าว
ทีมข่าวเดินทางไปยังจุดที่ตำรวจไล่กวดจับกุมนายเอก กระโดดซ้อนตัวในแม่น้ำเจ้าพระยา ในชุมชนหมู่ 1 คานเรือ หรือ ซอยขี้หมา ต.ปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ทันทีที่ทีมข่าวไปถึงมีเด็กในชุมชนพาเดินไปชี้จุดที่นายเอกกระโดดน้ำหนีตำรวจ เป็นลักษณะชุมชนแออัดริมแม่น้ำเจ้าพระยา นายเอกวิ่งหนีเข้ามาในชุมชน หลักจากนั้นกระโดดลงน้ำในกอผักตบชวาหวังจะหลบตำรวจ แต่เมื่อตำรวจวิ่งไล่ตาม นายเอกก็พยายามลอยน้ำข้ามฟากไปอีกฝั่ง ทั้ง ๆ ที่ว่ายน้ำไม่เป็น
ต่อมาทีมข่าวไปพูดคุยกับ นางเพ็ญจิต พินเจริญ ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าให้ฟังว่า ในขณะที่ตนกำลังทำกับข้าวอยู่ในบ้านก็ได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวาย จึงวิ่งออกจากบ้านมาดู ตำรวจบอกกับตนว่าตามจับคนชื่อเอก เพราะนายเอกใช้มีดจี้โทรศัพท์จากพนักงานห้างสรรพสินค้า แต่เมื่อตนรู้ว่าเป็นนายเอก ตนก็รู้สึกตกใจเพราะตำรวจเพิ่งจะปล่อยตัวเขาออกมาจากคุกได้ 2 วัน เพราะก่อนหน้านี้นายเอก เคยใช้ก้อนหินตีหัวพระ และไปขโมยของในตลาด แต่เมื่อไม่มีเจ้าทุกข์ตำรวจับไปก็ปล่อยออกมา ซึ่งนายเอก ก็มีญาติอยู่ตรงไปรษณีย์ แต่ญาติไม่ได้สนใจเพราะเขาติดยา
อย่างไรก็ตาม ตนก็เคยโดยนายเอก เดินตาม แต่ตนก็รีบเดินหนีออกไป ไม่ถึงขั้นทำร้ายร่างกาย ทั้งนี้ ตนอยากให้ตำรวจคุมตัวนายเอกไปบำบัด ถ้าปล่อยเขาไปก็จะเสพยาและก่อเหตุซ้ำซากอีกเช่นเดิม หากให้เขาไปบำบัดเขาอาจจะดีขึ้นก็ได้ ทุกวันนี้คนเฒ่าคนแก่ก็กลัว แต่เมื่อตำรวจจับตัวได้แล้วตนก็โล่งใจแล้ว แต่กลัวว่าตำรวจจะปล่อยตัวเขากลับออกมาอีก
ทีมข่าวจึงได้เดินทางไปพูดคุยกับ น.ส.พลอย (นามสมมติ) สาวทอม ผู้เสียหาย เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ตนเลิกงานจึงได้แวะไปที่ตลาดปากเกร็ด เพื่อที่จะซื้ออาหารก่อนกลับที่พัก เวลาประมาณ 23.40 น. ของวันที่ 29 ธันวาคม 64 ขณะที่ตนกำลังเดินหาซื้อกับข้าว ตนก็โดนนายเอกควักมีดสั้นปลายแหลม ความยาวประมาณ 10 ซม. ออกมาจี้เพื่อที่จะชิงโทรศัพท์มือถือ ตนก็ได้บอกไปว่าตนไม่มีโทรศัพท์ นายเอกจึงล็อกตัวพร้อมทั้งจะใช้มีดแทงบริเวณท้อง ตนจึงยอมให้โทรศัพท์ จากนั้นกลัวว่านายเอก จะเอาเงินที่ตนมีไปด้วย จึงได้รีบซ่อนเงินไว้ในกางเกงชั้นใน
ขณะนั้นตนคิดจะหนีก็หนีไม่ได้ เนื่องจากตนใส่สะโพกเทียม จะร้องขอช่วยเหลือผู้คนแถวนั้นก็ไม่มี ตนจึงใจแข็งไม่หนี และพูดกับนายเอกว่า ขอโทรศัพท์คืนได้หรือไม่ เขาก็ไม่ยอมให้ จากนั้นนายเอกก็ถอดกางเกงออกบังคับให้ตนอมอวัยวะเพศ ในหว่างนั้นตนก็ใช้มือหยิบโทรศัพท์มือถือของตนที่อยู่หลังกระเป๋าของคนร้ายเขวี้ยงเข้าไปในป่า นายเอกรู้ตัวว่าโทรศัพท์มือถือหายไป ตนจึงใช้โอกาสนี้หนีออกมา เมื่อพ้นสายตาและคิดว่านายเอกไม่ตามมาแล้ว จึงได้เดินกลับไปหาโทรศัพท์ที่ตนได้เขวี้ยงทิ้งไว้ แต่ก็หาไม่เจอ
ทั้งนี้ ตนจึงเดินกลับไปตลาดและได้เจอกับนายเอกอีกครั้ง ก่อนจะเห็นว่าโทรศัพท์ของตนอยู่กับเขา ซ้ำนายเอก ยังชวนให้ตนเสพยาไอซ์ ตนจึงตัดสินใจเดินตามไปหวังจะเอาโทรศัพท์ ในระหว่างที่เดินก็เจอกับแม่ค้า จึงได้แอบกระซิบให้แม่ค้าโทรศัพท์แจ้งตำรวจ เมื่อตำรวจมาถึงตนก็เล่าทุกอย่างให้ตำรวจฟัง แต่ตอนนั้นนายเอกไม่อยู่แล้ว จึงได้พาตำรวจไปจุดเกิดเหตุและพบกับนายเอกอยู่บนตึก เขาจึงโยนโทรศัพท์คืนให้ตน หลังจากนั้นตำรวจจับตัวเขาไม่ได้ มาจับได้อีกทีตอนเช้า ตนจึงได้เข้าให้ปากคำและลงบันทึกประจำวันพร้อมแจ้งข้อหา 3 ข้อหา 1.ชิงทรัพย์ 2.ข่มขืนกระทำชำเรา 3.พกพาอาวุธมีด ที่สภ.ปากเกร็ดไว้เรียบร้อย ตนยืนยันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
ต่อมาทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี จึงได้เดินทางมาบ้านนายเอก ซึ่งอยู่ในซอยวัดกู้ ตรงข้ามสำนักงานไปรษณีย์ปากเกร็ด พบกับป้าแมว (นามสมมุติ) ป้าของนายเอก กล่าวว่า ตนไม่รู้เรื่องที่นายเอกได้ไปก่อเหตุ และไม่รู้ว่าโดนตำรวจจับ แต่ยอมรับว่าตนเป็นคนเลี้ยงดูนายเอกและอยู่บ้านหลังเดียวกัน พ่อกับแม่ของเขาแยกทางกันตั้งแต่เขายังเด็ก ๆ ต่อมาแม่เขาก็ตาย จากนั้นไม่มีใครเลี้ยงดู ตนจึงได้รับเลี้ยงตั้งแต่นั้นเรื่อยมา
ทั้งนี้ ช่วงเวลาที่ นายเอก อาศัยอยู่กับตน เขาไม่เคยทำร้ายร่างกายตน เพราะตนมีลูกชาย เขาจึงกลัวไม่กล้าทำร้าย อีกทั้งนายเอก ความจำไม่ค่อยดี ชอบลืมปิดน้ำปิดไฟบ่อย ๆ ครั้ง ตนก็ตำหนิ อบรม สั่งสอน แต่เขาก็ไม่ยอมฟัง ตนก็กลุ้มใจไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว หากถามว่าจะไปประกันตัวหรือไม่ ตนคงไม่ไปขอปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี
อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี สอบถามไปยังพ.ต.ท.แสวง สนูหมื่น สภ.ปากเกร็ด กล่าวว่า นายเอกถูกแจ้งข้อหาหนัก 3 ข้อหา ข้อหา 1.ชิงทรัพย์ 2.ข่มขืนกระทำชำเรา 3.พกพาอาวุธมีด ซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษหนัก มั่นใจได้ว่าครั้งนี้นายเอก จะไม่ได้ออกจากคุกโดยเร็ว และจะไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างแน่นอน
Advertisement