จากกรณีที่เพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ออกมาเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับยาเสพติดประเภทใหม่ ที่กำลังระบาดอยู่ในโลกโซเชียล และกลุ่มนักเสพยาเสพติด โดยยาตัวนี้จะเป็นยาอีที่แปรรูปมาในแบบของกาแฟ 3 in 1 หรือที่ในวงการเรียกกันว่า "ฟีลกาแฟ" เพราะลักษณะบรรจุภัณฑ์จะคล้ายกับกาแฟสำเร็จรูปแบรนด์ดัง สามารถใช้ชงได้ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น แล้วดื่มเป็นยาเสพติดได้ทันทีโดยจะมีฤทธิ์คล้ายกับยาอี
โดยก่อนหน้านี้เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก "สายไหมต้องรอด" นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ช่วย ส.ส.เขตสายไหม เคยออกมาโพสต์เตือนเรื่องนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2564 ระบุข้อความไว้ว่า "ด่วน! เตือนภัย "ยาอี กาแฟ" ระบาดหนัก #ใช้ซองกาแฟตบตาตำรวจ แรงกว่า "เค นมผง" ยามตื่นจะเห็นภาพหลอน ห้ามนอนถ้าไม่อยากฝันร้าย!" แต่เนื่องจากตอนนั้นกระแสของยาเสพติดลักษณะนี้ยังไม่นิยมแพร่หลาย การพูดถึงในโลกออนไลน์จึงค่อนข้างเงียบ
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 เจ้าตัวได้แชร์โพสต์นี้ขึ้นหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัวอีกครั้ง พร้อมข้อความว่า "ลงเตือนไว้ 2 เดือนแล้ว ไม่ฟังกัน วันนี้ระบาดไปทั่วเมือง!"
ล่าสุด วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมาพูดคุยกับนายเอกภพ บอกว่า จริง ๆ แล้วมีมาตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน 2564 การที่มีเยาวชนรายหนึ่งหลงผิดเข้าไปลองเสพยาอี 3 in 1 บอกว่าตอนแรกที่ลองก็สนุกเคลิ้ม พริ้วไหวไปตามอารมณ์ แต่พอผ่านไปสัก 1-2 วัน ความสนุกมันหมดลง สิ่งที่ตามมาคืออาการผิดปกติกับร่างกายและสุขภาพจิต ใช้คำนิยามว่า "เวลาตื่นจะเห็นภาพหลอน เวลานอนจะฝันร้าย"
ซึ่งผู้เสพจะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยการหาอาวุธมาต่อสู้ ทั้งที่จริงแล้วตรงหน้าไม่มีใครเลย หรืออาจจะทำร้ายคนทั่วไปได้ ขณะเดียวกันเวลานอนหลับ ก็จะนอนได้แค่ 5-10 นาทีก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะจะฝันร้าย ฝันเห็นคนเข้ามาหา เข้ามาทุบประตู แต่พอตื่นขึ้นมาก็ไม่มีอะไร ทุกอย่างปกติ ที่สำคัญคืออาการแบบนี้จะเกิดกับร่างกายของผู้เสพอยู่ประมาณ 1 เดือน จนรู้สึกทรมาน เพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ และหากเกิดกับคนที่จิตอ่อนอยู่แล้ว ก็อาจร้ายแรงจนนำไปสู่การคิดฆ่าตัวตายได้ เนื่องจากส่วนผสมหลักคือหัวเชื้อของยาอี ที่มีความรุนแรงในการออกฤทธิ์สูงกว่ายาอีทั่วไปเยอะมาก
สิ่งสำคัญที่ผู้ปกครองสามารถช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องบุตรหลานไม่ให้ยุ่งกับยาเสพติดชนิดนี้ได้คือการสังเกต 1.หากมีการชงแล้วแบ่งใส่แก้วช็อต 7-8 แก้ว ให้มองว่าผิดปกติไว้ก่อน และตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่าเป็นยาเสพติด หากจะสังเกตเห็นรูปลักษณ์ภายนอก อาจจะดูไม่ออก เนื่องจากผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปสมัยนี้มีหลายสูตร
2.หากบุตรหลานไปเที่ยว สังสรรค์ปาร์ตี้แล้วมีการดื่มกาแฟในลักษณะดังกล่าวด้วย ตามหลักก็ดูผิดปกติ บวกกับราคาของยาเสพติดชนิดนี้มันสูงถึงซองละ 2,000-4,000 บาท จึงนิยมในกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อแถวย่านทองหล่อ สุขุมวิท ปัจจุบันเมื่อเป็นที่นิยมทางผู้ผลิตจึงเริ่มมีการปรับปรุงสูตรให้คนที่มีกำลังซื้อน้อยสามารถซื้อได้ เปลี่ยนจากหัวเชื้อยาอีมาเป็นยาอีทั่วไปบดผสมกับผงกาแฟ ราคาจะเหลือซองละ 1,000 กว่าบาท เพื่อตีตลาดกลุ่มเยาวชน นักศึกษา
ในส่วนของเขตสายไหม กทม. มีกลุ่มเยาวชนที่หลงผิดเข้าไปลองยาประเภทนี้บ้าง ตนก็พยามที่จะตักเตือน เพราะไม่รู้เลยว่าที่ผ่านมาเคยมีใครเสียชีวิตจากการเสพยาประเภทนี้หรือไม่ สุดท้ายอยากย้ำกับผู้ปกครองอีกครั้งว่าช่วงนี้ให้สอดส่องดูแลบุตรหลานดี ๆ รวมถึงน้องน้องเยาวชนก็อยากให้ตระหนักรู้ไว้ว่ายาเสพติดทุกชนิดอันตราย และผิดกฎหมาย ตรวจปัสสาวะออกมาก็เป็นสีม่วง อย่าริได้ไปคิดลอง
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ติดต่อกับผู้ค้าผ่านทวิตเตอร์ ลักษณะของการลงข้อความขาย โพสต์ภาพสินค้าที่เป็นซองกาแฟสำเร็จรูป 3 in 1 และแชตนัดรับสินค้า พร้อมแปะคิวอาร์โค้ดไลน์รวมถึงระบุราคาไว้
ทีมข่าวโทรศัพทย์คุยกับนายเขียว (นามสมมติ) พ่อค้าขายยา บอกว่า ยาตัวนี้จะมีส่วนผสมมาจากหัวเชื้อของยาอี ในวงการคนเล่นยาจะรู้จักกันในชื่อ "ขนม" และ Methamphetamine (เมทแอมเฟตามีน) หรือยากระตุ้นระบบประสาท แต่จะเป็นปริมาณเจือจาง แล้วนำมาบดผสมกับผงกาแฟทั่วไป จากนั้นก็บรรจุลงในซองผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป 3 in 1 น้ำหนักซองละประมาณ 17-18 กรัม เท่ากับที่หาซื้อได้ง่ายตามร้านค้าทั่วไป ลักษณะการออกฤทธิ์แตกต่างจากรูปแบบเม็ด จะไม่ดีด ไม่ทรมาน มีอาการกระตุ้นประสาทได้นุ่มนวล แต่เมาและเหวอสุดกว่าแบบเม็ด แล้วหลังจากนั้นสารจะอยู่ภายในร่างกายเพียง 2-3 วัน ต่างจากยาอีแบบเม็ดที่จะอยู่ในร่างกายนานถึง 5-7 วัน
ส่วนเรื่องราคา ลูกค้าที่อยู่ต่างจังหวัดหรือไม่รู้จัก จะอยู่ที่ซองละ 4,000-4,500 บาท แต่ถ้าเป็นลูกค้าที่รู้จักกันในกรุงเทพฯ ก็จะอยู่ที่ซองละ 3,000 บาท ยอมรับว่าปัจจุบันสินค้าตัวนี้กำลังขายดีมาก ผู้เสพเริ่มไม่นิยมยาอีแบบเม็ดเหมือนแต่ก่อนแล้ว เนื่องจากรสชาติและการออกฤทธิ์ตัวนี้จะละมุนกว่า กลมกล่อมกว่า ที่สำคัญคือตำรวจยังเข้าไม่ถึง จับได้ยาก เป็นที่นิยมกันในสายปาร์ตี้ กลุ่มที่มีกำลังซื้อ
รศ.ดร.วีระชัย พุทธวงศ์ หรือ อ.อ๊อด อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความรู้ถึงกรณีดังกล่าวว่า ยาอีผสมกาแฟคล้ายกับกรณีของเคนมผง เเต่ในกรณีของเคนมผงร้ายเเรงกว่ามาก คือมีการผสมสารเสพติดลงในเครื่องดื่มที่มีสารกดประสาท จะต้องมีการตรวจสอบอีกครั้งว่าเป็นเคนมผงอีกรูปแบบหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ถือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีการโฆษณาในโลกโซเชียลมีเดีย ยิ่งทำให้กลุ่มวัยรุ่นยิ่งเข้าถึงง่ายขึ้น
การผสมยาอีกับคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟ เหมือนเป็นการผสมเพื่อเพิ่มฤทธิ์กัน เพิ่มกระตุ้นการกดประสาท เเละการหลอนประสาท ซึ่งตัวของคาเฟอีนก็มีฤทธิ์อ่อน ๆ ในการกระตุ้นประสาทอยู่เเล้ว สามารถรับประทานได้ เช่น ในช็อกโกเเลต น้ำอัดลม กาแฟ ที่มีคาเฟอีนในปริมาณที่เหมาะสม เเต่เมื่อมียาอีเข้าไปเสริมฤทธิ์จะทำให้เกิดการเสพติดได้ ซึ่งยาอีจัดอยู่ในยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษปี พ.ศ. 2522 เป็นยากลุ่มออกฤทธิ์กดเเละกระตุ้นประสาท มากกว่า 10 เท่าของยาบ้า
เนื่องจากความเข้มข้นของยาอี ซึ่งเป็นเมตแอมเฟตามีน มีความเเรงกว่าแอมเฟตามีนหลายเท่า ส่งผลที่นอกเหนือจากอาการกระปรี่กระเปร่า จากการดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนเพิ่มขึ้น คือเกิดอาการเห็นภาพหลอน จนทำร้ายตัวเองหรือคนรอบข้าง หรือเกิดการกดประสาท หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น อาการสะลึมสะลือทำให้หลับ จะพัฒนาไปเป็นยาเลิฟหรือยามอมสาว เเละยังมีฤทธิ์กดการหายใจ เเละที่สำคัญ หากผสมยาอีในปริมาณมาก ก็จะเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพที่อาจถึงแก่ชีวิต
ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารเเละยา (อย.) หรือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. เข้าไปตรวจสอบโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ นายเก่ง (นามสมมติ) อายุ 37 ปี ผู้ที่เคยลองดื่มยาอี 3 in 1 ในรูปแบบกาแฟสำเร็จรูป บอกว่า เมื่อประมาณเดือนมิถุนายนตัวเองไปเที่ยวพูลวิลล่าที่ต่างจังหวัดกับกลุ่มเพื่อนประมาณ 7-8 คน ส่วนตัวไม่ได้เสพยาเสพติดเป็นประจำ อาจจะมีบ้างก็คือพวกยาอีทั่วไปเมื่อช่วงวัย 17-18 ปี โดยวันนั้นตนกับเพื่อนก็ตั้งวงกินเหล้าสังสรรค์กันตามปกติ เพื่อนชายคนหนึ่งก็ถือแก้วกาแฟมา 1 แก้ว พร้อมกับชวนให้ตนดื่ม บอกว่าเป็นกาแฟสูตรพิเศษ ตนก็อยู่ในอาการเมากระดกไป 1 ครั้ง ผ่านไปสัก 20-30 นาทีก็เริ่มรู้สึกเคลิ้ม สนุกสนานไปกับแสงสีผิดปกติ เหมือนกับตอนเสพยาอี แต่อาจจะออกฤทธิ์นานกว่า
ส่วนผลข้างเคียงที่ตนรู้สึกก็คืออาการหลอน เหมือนมีคนอยู่รอบ ๆ หูแว่ว มือสั่น ตัวสั่น รู้สึกนอยด์ผิดปกติ ต้องพยายามดึงสติอยู่กับเพื่อน ประคองตัวเองให้ได้ และตระหนักรู้ว่าคือผลข้างเคียงของการเสพยา เพื่อที่จะไม่ให้เกิดอาการเลยเถิดไปถึงขั้นคิดสั้น ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ตนยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่งของชีวิต หลังจากนั้นจึงไม่ได้เข้าไปยุ่งกับยาเสพติดทุกชนิดอีกเลย เพราะกลัวว่าอาการจะหนักกว่าเดิม วันนี้เห็นว่ายาเสพติดประเภทยาอี 3 in 1 กำลังกลับมาระบาดอีกรอบ อยากเตือนน้องวัยรุ่นว่าอย่าเข้าไปยุ่ง เพราะมันอาจจะสนุกแค่ชั่วคราว แต่ที่ตามมาคือผลเสีย กับคนที่มีกลุ่มเพื่อนซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ก็อยากให้สังเกตดี ๆ ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมีลักษณะผิดปกติหรือเปล่า
Advertisement