
ฉลองปีใหม่ให้สดใส ไม่ต้องจบที่โรงพยาบาล วิธีจุดพลุ-ดอกไม้ไฟให้ปลอดภัยในคืนส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พร้อมวิธีรับมือกับอันตรายที่ไม่คาดคิด
การฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในสังคมไทย มีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับการใช้พลุ ประทัด และดอกไม้ไฟ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรื่นเริงและการเริ่มต้นใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลเชิงสถิติทางการแพทย์บ่งชี้ว่ากิจกรรมเหล่านี้แฝงไปด้วยอันตรายที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรง การสูญเสียอวัยวะ หรือแม้กระทั่งการเสียชีวิต หากขาดความเข้าใจในคุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ของวัตถุระเบิดเหล่านี้
ความรุนแรงของอุบัติเหตุจากการเล่นพลุและประทัดในช่วงเทศกาลสำคัญๆ จากสถิติที่รวบรวมโดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานสากล พบว่าอุบัติเหตุจากการเล่นพลุ ประทัด และดอกไม้ไฟ มักพุ่งสูงขึ้นในช่วง 4 เดือนสำคัญ ได้แก่ มกราคม-เทศกาลปีใหม่ , ตุลาคม-เทศกาลออกพรรษา , พฤศจิกายน-เทศกาลลอยกระทง และ ธันวาคม-เทศกาลคริสต์มาสและเตรียมปีใหม่ ข้อมูลเชิงประจักษ์ในปี พ.ศ. 2564 มีผู้บาดเจ็บจากพลุ ประทัด และดอกไม้ไฟรวมทั้งสิ้น 594 ราย โดยกลุ่มอายุที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุดคือ เด็กอายุ 1-14 ปี (ร้อยละ 23.4) และเยาวชนอายุ 15-29 ปี (ร้อยละ 22.7) ข้อมูลนี้สะท้อนถึงปัญหาการขาดการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ปกครองและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเยาวชนในการเล่นที่ผาดโผนหรือดัดแปลงอุปกรณ์ระเบิด
พลุ ประทัด และดอกไม้ไฟ ผลิตขึ้นจากสารเคมี ซึ่งแต่ละชนิดมีผลกระทบต่อร่างกาย รวมถึงผลกระทบด้านอื่นๆ แตกต่างกันไป ดังนี้
โพแทสเซียมไนเตรต เป็นส่วนประกอบหลักของดินปืน ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ หากสูดดมไอระเหยเข้าไปในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอกและไออย่างรุนแรง
แบเรียมไนเตรต สารเคมีที่ให้สีเขียว มีความเป็นพิษสูงต่ออวัยวะภายใน การได้รับสารนี้ผ่านทางการสัมผัสหรือสูดดมอาจทำลายตับ ม้าม และส่งผลต่อระบบประสาทจนเกิดอาการอัมพาตที่แขนและขา ในบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
การจุดพลุจำนวนมากจะปลดปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) และโลหะหนักกระจายสู่ชั้นบรรยากาศ ก๊าซพิษจากการเผาไหม้ การระเบิดของพลุจะปลดปล่อยก๊าซหลายชนิด เช่น ไนโตรเจนออกไซด์ , ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ , และคาร์บอนมอนอกไซด์ เหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเซลล์ร่างกาย ทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนในระดับเซลล์ และระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ ก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจของประชาชนในวงกว้าง
อันตรายจากพลังงานเสียงและแสงจ้า
ความดังของเสียงจากประทัดและพลุระเบิดอาจสูงกว่า 130 - 140 เดซิเบลเอ (dB) ซึ่งเกินกว่าระดับความปลอดภัยที่หูมนุษย์จะรับได้ ไม่ควรเกิน 90 dB หากรับฟังนานเกิน 8 ชั่วโมง) เสียงกระแทกระดับนี้สามารถทำให้เยื่อแก้วหูฉีกขาด เกิดอาการหูดับชั่วคราวหรือถาวร และมีเสียงรบกวนในหู (Tinnitus) ตลอดชีวิต ในส่วนของดวงตา สะเก็ดไฟและความร้อนอาจทำให้เกิดภาวะผิวกระจกตาไหม้ หรือกระจกตาหลุดลอก ซึ่งนำไปสู่ความพิการทางสายตาอย่างถาวร
ผลกระทบต่อสัตว์เลี้ยง
ความรื่นเริงของมนุษย์อาจเป็นฝันร้ายของสิ่งมีชีวิตอื่นและส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมในระยะยาว เสียงระเบิดที่ดังและแสงที่วูบวาบทำให้สัตว์เลี้ยงเกิดความเครียด ตกใจกลัวจนอาจวิ่งหนีออกจากบ้านและได้รับอุบัติเหตุได้ ควรนำสัตว์เลี้ยงเข้าไว้ในบ้าน ปิดหน้าต่างและผ้าม่านให้มิดชิดเพื่อลดเสียงและแสง รวมถึงตรวจสอบให้สัตว์เลี้ยงสวมปลอกคอพร้อมป้ายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ติดต่อในกรณีพลัดหลง
ความปลอดภัยในการใช้งานไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยพฤติกรรมการเล่นที่ถูกต้องตามหลักการนิรภัยสากล ควรเตรียมความพร้อมและสถานที่จุด โดยเลือกสถานที่สำหรับการจุดพลุและประทัดควรเป็นพื้นที่โล่งแจ้ง ห่างไกลจากอาคารบ้านเรือน ต้นไม้ และวัตถุไวไฟอย่างน้อย 10-15 เมตร หากเป็นการจุดพลุขนาดใหญ่ ต้องมีระยะห่างตามมาตรฐานความปลอดภัย ดังนี้
ในการใช้งานจริง ผู้เล่นควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดเพื่อลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุ ได้แก่
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ การปฐมพยาบาลที่รวดเร็วและถูกวิธีเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความพิการและช่วยให้การรักษาของแพทย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การจัดการในกรณีอวัยวะส่วนปลายขาด การเก็บรักษาอวัยวะที่ขาดอย่างถูกวิธีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการผ่าตัดต่อคืนได้
ความปลอดภัยในการเล่นพลุ ประทัด และดอกไม้เพลิงในช่วงปีใหม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดวงหรือโชคชะตา แต่ขึ้นอยู่กับ ความไม่ประมาทและความรู้เท่าทันอันตรายของผู้เล่น การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน มอก. การปฏิบัติตามกฎระเบียบในพื้นที่ที่เล่น และการรู้วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดได้
Advertisement