"คุณแม่วัยใส" ปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก ความเสี่ยงของการตั้งครรภ์อายุน้อย เพจฯ ท่านเปายกเคส ท้อง อายุแค่ 13 ปี ความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปี 2568
ในหลายสังคมปัจจุบัน ภาพของการเป็นแม่วัยรุ่นไม่ได้หายไปไหน แม้จะมีข้อมูลสุขภาพและการรณรงค์วางแผนครอบครัวอยู่มากมายก็ตาม แต่ปัจจัยด้านสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมยังทำให้เกิดการตั้งครรภ์ในอายุน้อยอยู่เสมอ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยที่สถิติแม่วัยรุ่นยังสูงกว่ามาตรฐานสากล
การตั้งครรภ์เมื่อร่างกายและจิตใจยังไม่พร้อม ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความรับผิดชอบทางครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของสุขภาพอนามัยทั้งแม่และทารก ซึ่ง องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลก เพราะมีความเสี่ยงต่อชีวิตและคุณภาพชีวิตมากกว่าการตั้งครรภ์ในวัยที่เหมาะสม
หากมองในมุมทางการแพทย์ วัยรุ่นคือช่วงอายุระหว่าง 10–19 ปี ร่างกายยังอยู่ในระยะพัฒนา ความสมบูรณ์ของระบบสืบพันธุ์ยังไม่เต็มที่ มดลูก กระดูกเชิงกราน ฮอร์โมน และกลไกทางชีวภาพยังไม่พร้อมรองรับการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย
ขณะเดียวกัน สภาวะทางจิตใจในวัยนี้ยังไม่มั่นคง การตัดสินใจ การจัดการกับความเครียด รวมทั้งการเข้าถึงการดูแลสุขภาพยังมีข้อจำกัด เมื่อทั้งหมดนี้มารวมกัน ย่อมทำให้ความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นสูงกว่าหญิงอายุ 20–35 ปีอย่างชัดเจน
สิ่งที่น่ากังวลอันดับแรกคือความเสี่ยงต่อชีวิตแม่วัยรุ่นเอง งานวิจัยพบว่า การตั้งครรภ์ในวัยต่ำกว่า 18 ปีมีอัตราการเสียชีวิตของแม่จากภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์และคลอดสูงกว่าหญิงวัยผู้ใหญ่หลายเท่า โดยเฉพาะภาวะตกเลือด ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ รวมถึงการคลอดยากจากสรีรวิทยาที่ไม่สมบูรณ์ เช่น กระดูกเชิงกรานแคบกว่าปกติ ทำให้การคลอดทางธรรมชาติเสี่ยงต่อการติดขัด ต้องอาศัยการผ่าตัดคลอด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด
ข้อมูลจาก UNICEF ชี้ว่าแม่วัยรุ่นอายุ 10–14 ปีมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการตั้งครรภ์และคลอดสูงกว่าหญิงอายุ 20–24 ปี ถึง 5 เท่า
ในด้านทารก การเกิดในครรภ์ของแม่ที่อายุน้อยสัมพันธ์กับภาวะทารกคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ (low birth weight) และอัตราการเสียชีวิตปริกำเนิดสูงกว่าปกติ เหตุผลคือมดลูกและรกอาจยังทำงานได้ไม่เต็มที่ รวมถึงโภชนาการของแม่วัยรุ่นที่มักไม่เพียงพอ การแข่งขันใช้สารอาหารระหว่างร่างกายแม่ที่ยังเติบโตกับทารกในครรภ์จึงเกิดขึ้น
ส่งผลให้ทารกเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ และมีปัญหาสุขภาพระยะยาว เช่น ภูมิคุ้มกันต่ำ พัฒนาการช้า หรือเสี่ยงโรคเรื้อรังในอนาคต นอกจากนี้ทารกที่เกิดจากแม่วัยรุ่นยังมีโอกาสถูกทอดทิ้ง ขาดการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพมากกว่าเพราะความไม่พร้อมของครอบครัว
อีกประเด็นสำคัญคือความเสี่ยงด้านจิตใจและสังคม การตั้งครรภ์ในวัยเรียนมักทำให้การศึกษาและเส้นทางชีวิตสะดุด แม่วัยรุ่นจำนวนมากต้องออกจากโรงเรียน ไม่มีโอกาสเรียนต่อหรือประกอบอาชีพที่มั่นคง ส่งผลให้ต้องพึ่งพาครอบครัวหรือคู่ครอง บางรายถูกกีดกัน ถูกตีตราทางสังคม จนเกิดภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือรู้สึกไร้คุณค่า
ข้อมูลจากงานวิจัยในสหรัฐฯ และละตินอเมริกายืนยันว่าแม่วัยรุ่นมีอัตราภาวะซึมเศร้าหลังคลอดสูงกว่าแม่ทั่วไปหลายเท่า ความกดดันทั้งจากการเลี้ยงดูบุตร การขาดโอกาส และการถูกสังคมตัดสิน ล้วนเป็นตัวกระตุ้นปัญหาสุขภาพจิต
สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง แม่วัยรุ่นมักเผชิญความเสี่ยงจากการมีคู่ที่ยังไม่มีวุฒิภาวะ การหย่าร้างหรือการเลิกราหลังคลอดพบได้สูงกว่าการแต่งงานในวัยผู้ใหญ่ ความไม่มั่นคงนี้ส่งผลต่อทั้งแม่และลูกในระยะยาว รวมถึงโอกาสวนซ้ำเข้าสู่วงจรความยากจน เพราะเด็กที่เกิดจากแม่วัยรุ่นมีโอกาสสูงที่จะเผชิญปัญหาซ้ำซ้อน เช่น ขาดการศึกษา โภชนาการไม่ดี และตั้งครรภ์ซ้ำในวัยรุ่นเช่นเดียวกับแม่
จากรายงานของ WHO (2023) ระบุว่า เด็กผู้หญิง 15–19 ปี ราว 21 ล้านคนทั่วโลกตั้งครรภ์ทุกปี และกว่า 12 ล้านคนคลอดบุตรในแต่ละปี โดยกว่าครึ่งเกิดขึ้นในประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง การตั้งครรภ์เหล่านี้จำนวนไม่น้อยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ได้รับการวางแผน ผลกระทบจึงขยายวงกว้าง ไม่เพียงต่อสุขภาพของแม่และลูก แต่รวมถึงภาระเศรษฐกิจและสังคม การเข้าถึงบริการสุขภาพที่ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็น ทว่าความเป็นจริงคือแม่วัยรุ่นจำนวนมากไม่กล้าไปพบแพทย์ เพราะกลัวการถูกตำหนิ หรือขาดความรู้ในการดูแลครรภ์อย่างเหมาะสม
แม้ความเสี่ยงจะสูง แต่ก็ใช่ว่าจะป้องกันไม่ได้ แนวทางสำคัญที่ทั่วโลกยอมรับคือการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาแบบรอบด้านตั้งแต่วัยเรียน ควบคู่ไปกับการเข้าถึงบริการคุมกำเนิดที่ปลอดภัยและเหมาะสม โดยไม่ตีตราและไม่เลือกปฏิบัติ รวมถึงการสร้างระบบสนับสนุนสำหรับแม่วัยรุ่นที่ตั้งครรภ์แล้ว เช่น การฝากครรภ์เร็ว การตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โภชนาการที่เหมาะสม และการสนับสนุนด้านจิตใจจากครอบครัวและสังคม ทั้งนี้เพื่อให้แม่และลูกมีโอกาสรอดชีวิตและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าการถูกทอดทิ้ง
เมื่อมองในเชิงโครงสร้าง การตั้งครรภ์วัยรุ่นไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล แต่สะท้อนถึงปัญหาสังคมที่กว้างกว่า ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ความยากจน การเข้าถึงบริการสาธารณสุข และทัศนคติทางเพศที่มักเน้นความอับอายมากกว่าการให้ความรู้ หากสังคมยังคงมองแม่วัยรุ่นด้วยสายตาตีตรา การแก้ปัญหาก็จะเป็นเพียงการแก้ปลายเหตุ แต่หากเราปรับเปลี่ยนมุมมองว่าเด็กผู้หญิงเหล่านี้คือกลุ่มที่ต้องการการปกป้องและสนับสนุนมากที่สุด โอกาสในการลดความเสี่ยงก็จะมีมากขึ้น
ขณะที่เพจฯ ท่านเปา ก็ได้แสดงความกังวลต่อปมปัญหา คุณแม่วัยใส โดยยกเคส เด็กวัยเพียง 13 ปี เรื่องที่น่าห่วงในหลายมิติ ทั้งกฎหมาย สุขภาพ และสังคม
"ฝากลูกไว้ให้ยายเลี้ยง…ในขณะที่เด็กอายุ 13 ปี หลายคนยังนั่งเรียนอยู่ในห้องเรียน แต่บางคนกลับต้องนั่งรอ “ฝากครรภ์” นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปี 2568 เด็กที่ยังไม่ทันโต ก็ต้องกลายเป็นแม่ไปแล้ว
กรณีการตั้งครรภ์ในวัยเพียง 13 ปีเป็นเรื่องที่น่าห่วงในหลายมิติ ทั้งกฎหมาย สุขภาพ และสังคม
- ด้านกฎหมาย
การมีเพศสัมพันธ์กับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ถือเป็นความผิดทางเพศ ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ก็ตามเข้าข่าย “พรากผู้เยาว์” หรือ “ข่มขืนกระทำชำเรา” มีโทษจำคุกสูง ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำหรือผู้สนับสนุน อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
- ด้านสุขภาพ
ร่างกายของเด็กวัย 13 ปี ยังไม่พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ เสี่ยงต่อการแท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตทั้งแม่และลูก นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบทางจิตใจ เช่น ความเครียด ภาวะซึมเศร้า หรือการถูกตีตราจากสังคม
- ด้านครอบครัวและสังคม
เด็กวัยนี้ควรได้ใช้เวลาไปกับการเรียนและการพัฒนา ไม่ใช่ต้องรับภาระการเป็นแม่ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสม ทั้งเด็กและลูกที่เกิดมาจะเผชิญอุปสรรคในอนาคตอย่างมาก"
ท้ายที่สุด การตั้งครรภ์อายุน้อยคือความเสี่ยงหลายด้านในเวลาเดียวกัน ทั้งต่อสุขภาพแม่ ต่อชีวิตลูก และต่อเส้นทางชีวิตในอนาคตของทั้งสองคน เป็นเรื่องที่สังคมควรเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงการตำหนิหรือผลักไส เพราะปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากเด็กผู้หญิงเพียงฝ่ายเดียว แต่เกิดจากโครงสร้างสังคม การขาดการเข้าถึงความรู้ การคุมกำเนิดที่ไม่ทั่วถึง และการสนับสนุนที่ยังไม่เพียงพอ
หากเรามองเห็นทั้งหมดนี้ เราจะเข้าใจว่า “ความเสี่ยง” ไม่ได้หมายถึงเพียงความเจ็บป่วยทางกาย แต่ยังรวมถึงอนาคตที่อาจถูกพรากไปตั้งแต่ต้นทาง และนี่คือเหตุผลที่การป้องกันและดูแลแม่วัยรุ่นเป็นภารกิจสำคัญของทุกสังคม
Advertisement