เจาะลึก "โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์" ตีแผ่ทัศนคติบ้งๆ "สวยหล่อ = ปลอดโรค?" เส้นทางสู่โรคเรื้อรังที่รักษายาก หรือรักษาไม่ได้เลย
เขาดูดี ดูสะอาด ไม่มีทางมีโรคหรอก, แฟนเราหล่อขนาดนี้ ไม่น่าจะติดโรคอะไรมาได้หรอก, คนแบบนั้นดูสุขภาพดี ไม่ต้องป้องกันก็ได้มั้ง ... ???
เสียงในหัวเหล่านี้ อาจกำลังพรากชีวิตที่มีสุขภาพดีไปทีละน้อย หรืออาจตลอดกาล ทัศนคติผิดๆ เหล่านี้คือกับดักที่อันตรายกว่าที่คิด
ในโลกที่ภาพลักษณ์ถูกยกให้เหนือความจริง คนจำนวนมากเริ่มใช้รูปลักษณ์ภายนอกเป็นตัวตัดสิน "ความสะอาด" หรือ "ความปลอดภัย" ของอีกฝ่าย โดยเฉพาะในบริบทของความสัมพันธ์ทางเพศ แต่ความเชื่อที่ว่า "หน้าตาดี แสดงว่าต้องสะอาด ปลอดโรค" ไม่ใช่แค่ไร้เหตุผล หากยังเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs/STIs) ไม่เลือกหน้าตา ฐานะ หรือการแต่งตัว คนเป็นหนองในแท้หรือซิฟิลิสอาจแต่งหน้าเป๊ะปังเหมือนเน็ตไอดอลใน TikTok แต่ยังแพร่เชื้อได้ทุกเมื่อ
หน้าตาไม่เคยเป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยโรค และไม่มีแพทย์คนใดในโลกตรวจโรคด้วย "ความหล่อหรือความสวย" เพราะสุขภาพต้องอาศัยหลักฐาน ไม่ใช่ความเชื่อ
1. HIV
• ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มร่วมกัน หรือแม่สู่ลูกขณะตั้งครรภ์
• ผู้ติดเชื้ออาจไม่มีอาการใด ๆ นานหลายปี
• หากไม่ตรวจเลือด ไม่มีทางรู้ว่าใครเป็น
• การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้มากถึง 98%
2. ซิฟิลิส
• แพร่เชื้อผ่านการสัมผัสแผลหรือรอยโรค แม้จะอยู่ในบริเวณที่มองไม่เห็น
• มีระยะเรื้อรังหลายขั้น หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจถึงขั้นเป็นอัมพาตหรือเสียชีวิต
3. หนองในแท้
• อาการระยะแรกคือปัสสาวะแสบขัด มีหนองไหลจากอวัยวะเพศ
• ผู้หญิงจำนวนมากไม่มีอาการใด ๆ
• หากไม่รักษา อาจทำให้มีลูกยาก หรือเกิดภาวะอักเสบในอุ้งเชิงกราน
4. เริมที่อวัยวะเพศ
• เป็นโรคไวรัสที่ไม่มีทางรักษาหายขาด
• ติดต่อผ่านการสัมผัสแม้ไม่มีแผลชัดเจน
• อาการคือแผลพุพอง เจ็บ แสบ หรือคัน
5. HPV
• เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ และมะเร็งปากมดลูก
• แพร่เชื้อได้แม้ไม่มีอาการ
• การฉีดวัคซีนและใช้ถุงยางช่วยลดความเสี่ยง
คนดูดีอาจมีพฤติกรรมเสี่ยงมากกว่าคนที่ไม่ดูดีด้วยซ้ำ เพราะความมั่นใจในรูปลักษณ์ อาจนำไปสู่ความประมาท เช่น
• เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
• ไม่ชอบใช้ถุงยางเพราะ "เสียฟีล"
• คิดว่าตัวเองไม่มีวันเป็นโรค เพราะไม่เคยมีอาการ
โรคติดต่อหลายชนิดซ่อนตัวอยู่นานนับปี เช่น HIV หรือ HPVหากคุณไม่ตรวจร่างกาย ไม่มีทางรู้ และนั่นคือปัญหา
ถุงยางอนามัยเป็นอุปกรณ์ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ข้อดีของถุงยาง ได้แก่
• ป้องกันโรคได้หลายชนิด เช่น HIV ซิฟิลิส หนองใน และ HPV
• ลดโอกาสตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
• พกง่าย ใช้งานสะดวก ราคาถูก
• มีหลายขนาด หลายรูปแบบ ช่วยเสริมความมั่นใจในความสัมพันธ์
การไม่ใช้ถุงยาง เพราะอีกฝ่าย "หน้าตาดี" คือความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น และอาจนำไปสู่โรคเรื้อรังที่รักษายาก หรือรักษาไม่ได้เลย
หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ควรตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ เช่น
• ตรวจเลือดหาเชื้อ HIV
• ตรวจปัสสาวะและสารคัดหลั่งเพื่อหาเชื้อหนองในหรือคลามิเดีย
• ตรวจภายใน และตรวจมะเร็งปากมดลูก (กรณีผู้หญิง)
• ตรวจหูดหงอนไก่ หรือแผลที่อวัยวะเพศ
การตรวจเหล่านี้ช่วยให้คุณมั่นใจในสุขภาพของตนเอง และดูแลคู่ของคุณได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อสังคมยังเชื่อว่าคนหน้าตาดีปลอดโรค ปัญหาจะไม่ได้จบแค่คนเดียว แต่มันแพร่กระจายเป็นวงกว้าง เพราะ
• คนที่เชื่อแบบนี้จะไม่ใช้ถุงยาง
• คนที่ถูกมองว่า "ดูสะอาด" จะไม่ไปตรวจโรค
• โรคจึงระบาดในกลุ่มที่ไม่มีใครคาดคิด
• และสุดท้ายกลายเป็นภาระทางสาธารณสุข
สิ่งที่ต้องทำคือ
• ให้ความรู้เรื่องโรคติดต่อและการป้องกัน
• รณรงค์ใช้ถุงยางอย่างถูกต้อง
• เปลี่ยนทัศนคติว่า “รูปลักษณ์ภายนอกไม่เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศ”
1. คนหล่อคนสวยก็สามารถติดเชื้อ HIV หรือโรคอื่นๆ ได้
2. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการในระยะแรก
3. ถุงยางอนามัยช่วยลดความเสี่ยงได้สูงมาก
4. การตรวจโรคควรเป็นกิจวัตร ไม่ใช่เรื่องอับอาย
5. การป้องกันโรคต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และการตัดสินใจที่มีสติ
เลือกป้องกัน เพราะรักตัวเอง ไม่ใช่เพราะอีกฝ่าย "ดูดี" หรือ "ดูไม่ดี" ความหล่อ ความสวย ไม่ได้การันตีอะไรเลยเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศ
การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย เป็นเรื่องของ "ความรับผิดชอบ" ต่อร่างกายของคุณเอง ต่อชีวิตของคู่ของคุณ และต่อสังคมโดยรวม
Advertisement