ยาเสียสาว คือ สาร/ยา ที่ถูกนำมาใช้ในทางที่ผิด โดยผู้ประสงค์ร้ายแอบลักลอบใช้กับเหยื่อ หวังก่ออาชญากรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเพื่อรูดทรัพย์ หรือล่วงละเมิดทางเพศ
ยาเสียสาว คือเครื่องมือที่ใช้โดยคนร้ายเพื่อก่ออาชญากรรมทางเพศ โดยการมอมเหยื่อให้ไม่สามารถขัดขืนหรือจำเหตุการณ์ได้
Amarin Online จะพาไปเจาะลึกถึงความหมายของยาเสียสาว ชนิดของยา กลไกการออกฤทธิ์ ผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ ตลอดจนแนวทางในการป้องกันตนเองจากภัยร้ายนี้
ยาเสียสาว เป็นคำเรียกที่ใช้ในสื่อและสังคมเพื่อสื่อถึงสารหรือยาที่คนร้ายใช้มอมเหยื่อก่อนก่ออาชญากรรมทางเพศ ยาเหล่านี้ส่วนใหญ่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ผู้ที่ได้รับสารรู้สึกง่วง งง ซึม หมดสติ หรือไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ในช่วงเวลาหนึ่งได้
ยาเสียสาว อาจอยู่ในรูปของของเหลว ผง หรือยาเม็ด ซึ่งมักถูกผสมลงในเครื่องดื่มหรืออาหารโดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว
ยาเสียสาวไม่ใช่ยาชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ แต่หมายถึงกลุ่มของสารที่ถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะเพื่อก่ออาชญากรรมทางเพศ ยาที่พบได้บ่อยมีดังนี้
1. Gamma-Hydroxybutyrate (GHB)
• ชื่อทางการแพทย์ : Gamma-Hydroxybutyric Acid
• ลักษณะ : ของเหลวใส ไม่มีกลิ่น รสเค็มเล็กน้อย
• ฤทธิ์ : ออกฤทธิ์เร็ว ทำให้เกิดอาการง่วงซึม สูญเสียความสามารถในการควบคุมร่างกาย และอาจหมดสติ
GHB เป็นสารธรรมชาติที่พบในสมองมนุษย์ในปริมาณน้อย ถูกพัฒนาในอดีตเพื่อใช้ในการรักษาโรคนอนไม่หลับและอาการกล้ามเนื้อกระตุก แต่ภายหลังพบว่าถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์อย่างแพร่หลาย
2. Rohypnol (Flunitrazepam)
• ชื่อทางการแพทย์ : Flunitrazepam
• ลักษณะ : เม็ดสีขาว ละลายได้ในน้ำ
• ฤทธิ์ : ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ง่วงนอน สูญเสียความทรงจำชั่วคราว
Rohypnol เป็นยานอนหลับในกลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine) ซึ่งมีฤทธิ์แรงและออกฤทธิ์ได้นานกว่า Diazepam หรือ Alprazolam ที่ใช้ทั่วไป การใช้ยาโดยไม่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อาจนำไปสู่ภาวะหายใจล้มเหลวหรือหมดสติได้
3. Ketamine
• ชื่อทางการแพทย์ : Ketamine Hydrochloride
• ลักษณะ : ของเหลวใสหรือผงสีขาว
• ฤทธิ์ : ทำให้มึนงง สับสน สูญเสียการรับรู้ต่อสภาพแวดล้อม หรือหมดสติ
Ketamine เป็นยาสลบที่ใช้ในทางวิสัญญีแพทย์ แต่มีการลักลอบนำมาใช้ในทางที่ผิดในสถานบันเทิง
4. Alcohol (แอลกอฮอล์)
แอลกอฮอล์แม้ไม่จัดเป็นยาเสียสาวโดยตรง แต่การผสมกับยาข้างต้นจะทำให้ฤทธิ์ของยารุนแรงขึ้น ทำให้เหยื่อขาดการควบคุมและหมดสติได้เร็วกว่าเดิม
5. ยาอัลปราโซแลม
ยาอัลปราโซแลม มีชื่อทางการค้าหลายชื่อ เช่น "ซาแน็กซ์โซแลม" ในทางการแพทย์ยาอัลปราโซแลมใช้เพื่อบรรเทาหรือรักษาอาการวิตกกังวลและอาการตื่นตระหนก หรือใช้เป็นยานอนหลับในกรณีที่จำเป็น มีประสิทธิภาพดีในทางรักษา
ปัจจุบัน มีการใช้ยาอัลปราโซแลม ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไปในทางที่ผิด เช่น นำไปใช้เป็นยานอนหลับอย่างแรงเพื่อล่วงละเมิดทางเพศ หรือนำไปผสมในสารเสพติด
อนึ่ง ยาอัลปราโซแลม กำลังเป็นที่พูดถึงในวงกว้างของสังคม ด้วยสืบเนื่องมาจากการบุกจับ หมอแอร์ แพทย์ตำรวจคนดัง ถูกกล่าวหาแอบอ้างคลินิก 11 แห่ง สั่งซื้อ ยานอนหลับเสียสาว
เดิมยานี้จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภทที่ 4 ตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 แต่ จากการที่กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง เปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 ซึ่งยกระดับการควบคุมอัลปราโซแลม (alprazolam) จากวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2
สำหรับปัจจุบัน (alprazolam) ควบคุมเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด
ยาทั้งหมดนี้ออกฤทธิ์ผ่านการยับยั้งหรือปรับเปลี่ยนการทำงานของสารสื่อประสาทในสมอง โดยเฉพาะ GABA (Gamma-Aminobutyric Acid) ซึ่งเป็นสารยับยั้งการทำงานของสมอง
เมื่อยากระตุ้น GABA มากเกินไปจะทำให้สมองช้าลง ส่งผลให้
• ร่างกายรู้สึกง่วงหรือซึม
• การตอบสนองช้าลง
• ความจำขาดหายเป็นช่วง
• หมดสติชั่วคราว
ในบางกรณีที่ใช้ยาเกินขนาดหรือผสมกับแอลกอฮอล์ อาจทำให้เกิดภาวะหายใจล้มเหลว หรือช็อก จนนำไปสู่การเสียชีวิต
ด้านร่างกาย
• ง่วง ซึม หรือหมดสติ
• เดินไม่ตรงทาง กล้ามเนื้ออ่อนแรง
• คลื่นไส้ อาเจียน
• หัวใจเต้นช้า
• หายใจลำบาก
• อาจเสียชีวิตได้หากใช้ยาเกินขนาด
ด้านจิตใจ
• ความจำขาดหาย
• ความเครียดจากการไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
• ภาวะซึมเศร้าหลังถูกล่วงละเมิด
• ความกลัว การไม่ไว้ใจคนรอบตัว
• PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder)
วิธีการใช้ของคนร้าย
1. แอบใส่ยาลงในเครื่องดื่มโดยเหยื่อไม่รู้ตัว
2. รอให้เหยื่อแสดงอาการ เช่น ง่วง ซึม หรือเดินเซ
3. พาเหยื่อออกจากสถานที่เพื่อก่ออาชญากรรม
ในหลายกรณี คนร้ายอาจเป็นคนรู้จัก ทำให้เหยื่อไม่ระวังตัว เช่น แฟนเก่า เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่เพื่อนในโซเชียล
วิธีตรวจ
• ตรวจปัสสาวะ (ภายใน 6–12 ชั่วโมงหลังได้รับยา)
• ตรวจเลือด (ต้องทำภายใน 4–6 ชั่วโมง)
• ตรวจสารตกค้างในผม (ใช้ได้ในกรณีที่ตรวจช้า แต่มีข้อจำกัดเรื่องความแม่นยำ)
• ห้ามรับเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้า
• อย่าทิ้งเครื่องดื่มของตนเองไว้โดยไม่มีคนเฝ้า
• ใช้แก้วแบบมีฝาปิดในสถานบันเทิง
• อยู่กับเพื่อน อย่าแยกตัวกลับบ้านคนเดียว
• สังเกตอาการผิดปกติของตนเองและผู้อื่น
หากรู้สึกมึนงงโดยไม่มีสาเหตุ รีบขอความช่วยเหลือทันที และไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย
การใช้ยาเสียสาวเพื่อล่วงละเมิดผู้อื่นถือเป็นความผิดทางอาญาร้ายแรง
• ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282–285 ว่าด้วยการข่มขืนโดยใช้กำลังหรือยา โทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต
• หากเหยื่ออายุต่ำกว่า 15 ปี ถือเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ เพิ่มโทษอีกตาม มาตรา 317–318
• ผู้กระทำความผิดอาจถูกดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญา
ยาเสียสาว ไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเรียกในข่าวเท่านั้น แต่คือปัญหาสังคมร้ายแรงที่ควรได้รับความตระหนักอย่างกว้างขวาง ทั้งในหมู่ผู้หญิงและผู้ชาย ทุกคนมีโอกาสตกเป็นเหยื่อได้หากประมาทหรือไว้ใจคนผิด
ความรู้คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด หากเข้าใจถึงลักษณะของยา วิธีที่คนร้ายใช้ และแนวทางการป้องกัน ก็จะช่วยให้เราปลอดภัยจากอันตรายที่มองไม่เห็น และสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างทันท่วงที
Advertisement