ภัยเงียบ “งูสวัด” ไม่ใช่แค่โรคคนแก่! แต่คือภัยที่อาจทำให้ผู้ติดเชื้องูสวัดทรมาน และเจ็บนานไปทั้งชีวิต เชื้อแฝงอยู่ในร่างกายได้นานกว่า 50 ปี ภูมิตกเมื่อไหร่อาการออกทันที ตาบอด อัมพาต และอาจส่งผลต่อสมอง
"หมอตี๋ โกเมศ" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน ดูแลคนไข้โรคผิวหนัง เผยเคล็ดลับรู้ทัน "โรคงูสวัด" ป้องกันให้ดีก่อนชีวิตพัง โดยระบุว่า คนมักเข้าใจผิดว่า โรคอิสุกอีใสกับโรคงูสวัดคือโรคเดียวกัน จริงๆ แล้ว คือคนละโรคกัน แต่เป็นเชื้อเดียวกัน คือ เชื้อ VZV (Varicella Zoster Virus) ส่วนใหญ่จะได้รับเชื้อ VZV เป็นครั้งแรกตอนเด็ก อิสุกอิใสมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำ มีผื่นที่จำเพาะ คือ เห็นผื่นทุกระยะในเวลาเดียวกัน ตั้งแต่ผื่นราบ, ผื่นนูนแดง, เป็นตุ่มน้ำ, ไปจนถึงแตกเป็นแผล ผื่นมักจะขึ้นเด่นที่ลำตัว ใบหน้า แล้วกระจายไปแขนขา มีการแพร่กระจายได้สูงมาก เพียงแค่อยู่ห้องเดียวกันหายใจผ่านละอองฝอยก็ติดกันได้หมด เชื้อไวรัสอีสุกอีใสแพร่กระจายได้ง่ายมาก แค่อยู่ในห้องเดียวกัน หายใจร่วมหรือรับละอองฝอยจากคนที่ติดเชื้อก็สามารถแพร่ต่อกันได้แล้ว ที่น่ากลัวคือเชื้อสามารถแพร่ได้ตั้งแต่ 48 ชั่วโมงก่อนผื่นจะขึ้นช่วงที่เรามีแค่ไข้ต่ำ ๆ ยังไม่รู้ตัวว่าเป็นอะไรก็สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้แล้ว
หลังจากอาการอีสุกอีใสหายภายใน 1–2 สัปดาห์ ไวรัสไม่ได้หายไปจากร่างกาย แต่จะแอบไปซ่อนอยู่ในปมประสาท ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับความรู้สึกตามร่างกาย และสามารถซ่อนตัวอยู่ได้นานถึง 10, 20, 30 ปี หรือแม้แต่ 50 ปี โดยไม่มีอาการอะไรเลย เมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันตกไวรัสจะแสดงอาการอีกครั้งในรูปแบบใหม่ คือ "งูสวัด" แต่เป็นตุ่มน้ำแบบเรียงเป็นเส้นตามแนวปมประสาท ขึ้นเฉพาะจุด เช่น ศีรษะ ลำตัว แขน ขา หน้า และมักเป็นแค่ข้างเดียว (ซ้ายหรือขวา) ส่วนใหญ่เป็นข้างเดียวยกเว้นว่าภูมิคุ้มกันแย่จริง ๆ จะมีโอกาสที่จะขึ้นทั้ง 2 ข้าง หลายคนเริ่มจากปวดก่อน โดยไม่เห็นผื่น บางคนคิดว่าแค่ปวดเมื่อยธรรมดา แล้วอีก 1–2 วันตุ่มน้ำถึงจะขึ้น ซึ่งต่างจากอีสุกอีใสจะมีตุ่มน้ำขึ้นกระจายทั่วตัวภายใน 1–2 วัน แตกเร็วและเป็นทั้งตัว และที่สำคัญคนที่จะเป็นงูสวัดได้ ต้องเคยติดเชื้ออีสุกอีใสมาก่อน เพราะงูสวัดคือการกลับมาของเชื้อตัวเดิม ไม่ใช่การติดเชื้อใหม่
ทั้งนี้ หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ภายใน 72 ชั่วโมงแรก (3 วันหลังจากตุ่มขึ้น) เพื่อรับยาต้านไวรัส จะสามารถช่วยได้มาก เช่น ลดปริมาณเชื้อ ลดความรุนแรงของโรค ลดโอกาสเกิดแผลพุพองหรือภาวะแทรกซ้อน แต่ในชีวิตจริง คนส่วนใหญ่มักไปหาหมอช้า กว่าจะไปถึงมือหมอ ตุ่มพองเต็มตัวแล้ว เจ็บแสบและทรมานมาก
งูสวัดที่ขึ้นบนใบหน้าต้องระวังมาก เพราะว่ามีพื้นที่น้อย แล้วก็ใกล้กับอวัยวะสำคัญหลายอย่าง เช่น ถ้าขึ้นหน้าผากกับปลายจมูกเสี่ยงเข้าตาอาจตาบอดได้ ถ้าขึ้นใกล้หูอาจโดนเส้นประสาทใบหน้าทำให้หน้าเบี้ยวสามารถอัมพาตครึ่งซีกได้ หลับตาไม่สนิท ถ้าขึ้นคางเคยมีรายงานว่าฟันโยกฟันหลุด โดยเฉพาะคนที่เป็นเบาหวานหรือภูมิคุ้มกันต่ำจะเกิดภาวะแทรกซ้อนแผลก็หายช้า เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อน อย่างไรก็ตาม งูสวัดโดยทั่วไปไม่ถึงขั้นสมองเสื่อมโดยตรง แต่ถ้าเป็นงูสวัดโดยเฉพาะขึ้นที่บริเวณใบหน้ามีอวัยวะสำคัญค่อนข้างเยอะ จึงมีความกังวลหลายอย่างและแนะนำให้รีบไปโรงพยาบาลทันทีไม่ต้องรอ
ปกติงูสวัดจะขึ้นแค่ข้างเดียว ไม่พันรอบตัว แต่ถ้าพันหรือกระจายทั้งตัวจะเจอในคนที่ภูมิคุ้มกันแย่มาก เช่น เป็นมะเร็ง ให้ยาคีโมฉายแสง หรือกินยากดภูมิ บางคนที่ภูมิคุ้มกันแย่มาก ๆ จะขึ้นทั้ง 2 ข้างได้ แต่จะไม่เกิดขึ้นบ่อยมันเลยจะดูคล้ายพันรอบตัว หรืออีกกลุ่มก็คือกระจายทั้งตัวเรียกว่าเป็นงูสวัดแบบรุนแรง ชนิดแพร่กระจาย โรครุนแรงได้จริง และเสี่ยงติดเชื้อแทรกซ้อน มีภาวะติดเชื้อกระแสเลือด หรือภาวะอื่นๆ จนถึงขั้นเสียชีวิต
สำหรับภาวะแทรกซ้อนจากงูสวัดที่พบบ่อยคือ การติดเชื้อแบคทีเรียที่แผล โดยเฉพาะถ้าแผลเปิดแล้วไม่สะอาด เช่น มีคนไปเป่าหรือพ่นน้ำลายใส่ อาจลุกลามจนถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือดได้ ส่วนที่อันตรายอีกอย่างคือ ถ้างูสวัดขึ้นใกล้ตาอาจทำให้ตาบอดได้ หรือถ้าโดนเส้นประสาทสำคัญอาจปวดเรื้อรังแม้จะหายแล้ว เช่น ปวดแสบปวดร้อน ปวดเหมือนเข็มทิ่มอยู่ตลอดเวลา บางรายปวดนานหลายเดือนถึงเป็นปี โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ซึ่งขึ้นกับความไวของเส้นประสาทและภูมิคุ้มกันของแต่ละคน ถ้ารักษาทันใน 1–2 สัปดาห์ อาการปวดมักหายไปพร้อมผื่น ยกเว้นในคนที่อายุเยอะหรือมีโรคร่วม อาจมีอาการปวดค้างอยู่ร่วมด้วยแม้ผื่นจะหายแล้ว ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ได้ในระยะยาว
แม้จะไม่ได้ป่วยเป็นโรคไหนเลยแค่เรามีอายุมากขึ้นความเสี่ยงก็สูงขึ้นแล้ว เนื่องจากภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงเท่าเดิม คนที่อายุ 50 ปีขึ้นไปเสี่ยงมากที่สุด เพราะภูมิคุ้มกันเริ่มอ่อนแอลงตามวัย โดยเฉพาะถ้ามีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง โรคปอดเรื้อรัง ผู้ป่วยมะเร็งหรือเป็น HIV ยิ่งเสี่ยงเพิ่มอีก 30–40% และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนสูง ส่วนคนวัยทำงานที่เครียด พักผ่อนน้อย หรือทำงานเป็นกะก็เสี่ยงเช่นกัน เพราะภูมิคุ้มกันลดไว ทำให้ไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายกำเริบขึ้นมาได้ทุกเมื่อ โรคนี้ไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุ ยิ่งอายุมาก ความเสี่ยงยิ่งสูง และยิ่งดูแลยากขึ้น ต้องคำนึงถึงโรคประจำตัว ยาที่กินอยู่ รวมถึงตับและไตด้วย
ส่วนคนท้องก็สามารถเป็นงูสวัดได้ โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อนหรือคนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัส VZV ถ้าคนท้องติดเชื้อนี้ครั้งแรก จะเป็นอีสุกอีใสไม่ใช่งูสวัด มีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์มีโอกาสเกิด ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น คลอดก่อนกำหนด ลูกตัวเล็ก ติดเชื้อในมดลูก ที่ร้ายแรงที่สุดทารกอาจเสียชีวิตในครรภ์ ถ้ามีคนในบ้านเป็นงูสวัด คนท้องควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ ห้ามสัมผัสแผลหรือตุ่มน้ำเด็ดขาดและควรแยกเสื้อผ้า ของใช้ และควรอยู่ห่างกัน
ถ้าไม่ได้มีอาการรุนแรงสามารถรักษาแบบกินยาที่บ้านได้เลยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล โดยยาหลัก ๆ คือ ยาต้านไวรัสที่ต้องกิน วันละ 5 เวลา ตามเวลาเป๊ะ ๆ (6 โมง, 10 โมง, บ่าย 2, 6 โมงเย็น, 4 ทุ่ม) ต่อเนื่องกัน 7 วัน ยาฆ่าเชื้อ และยาปฏิชีวนะหากมีความเสี่ยงติดเชื้อแทรกซ้อน ยาแก้ปวด หรือ ยาลดการอักเสบของปลายประสาท เพื่อบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน แนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะ ๆ และถ้าทำได้ควรลางานเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว
ยิ่งอายุมากขึ้น ภูมิคุ้มกันยิ่งอ่อนแอลงร่างกายป้องกันเชื้อโรคได้น้อยลง เสี่ยงติดเชื้อง่ายขึ้นไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อ หรือแม้แต่มะเร็ง เพราะฉะนั้นผู้สูงอายุควรฉีดวัคซีน เพื่อเสริมภูมิต้านทานเป็นเหมือนการเติมอาวุธให้ร่างกาย เช่น ไข้หวัดใหญ่ก็ควรต้องฉีดทุกปี วัคซีนคอตีบฉีดทุก 10 ปี อายุมากกว่า 65 ปี ก็ควรฉีดวัคซีนปอดอักเสบ ยังไม่รวมถึงวัคซีนทางเลือก เช่น งูสวัด ซึ่งก็ควรจะต้องฉีดเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไปก็สามารถที่จะฉีดได้ เพราะว่าเวลาเราอายุ 50 ปีขึ้นไปป่วยเป็นโรคงูสวัดค่อนข้างรุนแรง แล้วก็ภาวะแทรกซ้อนค่อนข้างสูง
โรคงูสวัดเป็นโรคที่คาดการณ์ไม่ได้ มันพร้อมที่จะเห่อขึ้นได้ทุกเมื่อ ขึ้นกับภูมิคุ้มกันที่มีดังนั้นการดูแลสุขภาพไม่ว่าจะเป็นการดื่มน้ำ พักผ่อนให้เพียพอ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และการฉีดวัคซีนโปรตีนเฉพาะของไวรัสฉีดได้ในอายุ 50 ปีขึ้นไป ประสิทธิภาพค่อนข้างดีจากงานวิจัยสามารถที่จะป้องกันตัวงูสวัดได้ถึง 97 % แล้วก็ป้องกันเรื่องอาการปวดได้ 91%
การฉีดวัคซีนงูสวัดไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก เหมือนวัคซีนทั่วไป อาจจะมีปวดเล็กน้อยมีไข้ต่ำ ๆ ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 2 – 6 เดือน เมื่อฉีดครบแล้วไม่จำเป็นต้องไปฉีดซ้ำทุกปี จากการวินิจฉัยพบว่าภูมิคุ้มกันอยู่ได้นานกว่า 10 ปี
การที่คิดว่าตัวเองคงไม่เป็นหรอก ซึ่งถึงแม้จะดูแลตัวเองดีแค่ไหน ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่ เพราะโรคนี้มากับภูมิคุ้มกันที่ตกซึ่งไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ เป็นแล้วก็แค่ผื่น เดี๋ยวก็หายสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่แค่ผื่นหรือแผลเป็น แต่คืออาการปวดเรื้อรังที่บางคนปวดอยู่นานเป็นเดือนเป็นปีแม้ผื่นจะหายแล้วซึ่งจะทรมานมาก โรคนี้เป็นแค่ในผู้สูงอายุ จริง ๆ แล้วงูสวัดสามารถเกิดได้ทุกวัย ตั้งแต่เด็กวัยทำงาน ไปจนถึงผู้สูงอายุ เพียงแต่ว่าเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงจะมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยไหนดูแลสุขภาพให้ดีกินอาหารให้ครบออกกำลังกายนอนให้พอและก็ควรจะต้องฉีดวัคซีนเมื่อถึงวัยที่ควรจะฉีดก็เป็นป้องกันตัวเองได้ดีที่สุด
Advertisement