
วงการยานยนต์ไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญในเดือนพฤศจิกายน 2568 โดยมียอดผลิตและยอดขายในประเทศเติบโตพุ่งสูงขึ้นกว่าร้อยละ 11 และร้อยละ 20 ตามลำดับ ซึ่งแรงขับเคลื่อนหลักมาจากกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าที่เร่งกำลังการผลิตชดเชยโควตานำเข้าจนมียอดเติบโตแบบก้าวกระโดดกว่าร้อยละ 1,900 ขณะเดียวกันตลาดรถกระบะเริ่มกลับมาคึกคักเป็นบวกครั้งแรกหลังได้รับอานิสงส์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคให้แข็งแกร่งขึ้น แม้ในภาคการส่งออกจะยังคงเผชิญความท้าทายจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตรถยนต์สันดาปไปสู่พลังงานใหม่ แต่ภาพรวมเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมเริ่มเห็นทิศทางที่สดใสและเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. เปิดเผยตัวเลขที่น่าสนใจซึ่งชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการขยายตัวแบบก้าวกระโดดของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อชดเชยโควตานำเข้า
ในเดือนพฤศจิกายน ผลิตรถยนต์ได้รวม 130,222 คัน (เพิ่มขึ้น 11.06% YoY)
ยอดขายในประเทศทำได้ 51,044 คัน (เพิ่มขึ้น 20.65% YoY)
ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปอยู่ที่ 78,692 คัน (ลดลง 12.22% YoY)
ปัจจุบันประเทศไทยมียานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมแบ่งตามประเภทเทคโนโลยี ดังนี้
ประเภทรถไฟฟ้า | จำนวนจดทะเบียนสะสม (คัน) | การเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน |
BEV (ไฟฟ้า 100%) | 354,480 | +60.81% |
HEV (ไฮบริด) | 596,945 | +28.75% |
PHEV (ปลั๊กอินไฮบริด) | 80,528 | +28.50% |
ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งการ "เปลี่ยนผ่าน" ที่ชัดเจน ยอดขายและยอดผลิตในประเทศถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีพลังงานใหม่ (xEV) อย่างเต็มตัว ในขณะที่ภาคการส่งออกกำลังอยู่ในช่วงปรับฐานจากการลดบทบาทของเครื่องยนต์สันดาป อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยนโยบายถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยพยุงกำลังซื้อในกลุ่มรถกระบะ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจฐานรากให้กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง