เมอร์เซเดส-เบนซ์ ปรับโครงสร้างราคาใหม่เพื่อให้พร้อมแข่งขันในตลาด
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จัดงานสุดเอ็กซ์คลูซีฟ CLASS OF ITS OWN. “The new CLA Designer Talk” สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในรอบ 20 ปี ด้วยการเชิญ เดนนิส บริงส์ (Dennis Brings) ดีไซเนอร์ระดับโลกจาก Mercedes-Benz Design เยอรมนี มาร่วมถ่ายทอดแรงบันดาลใจและแนวคิดการออกแบบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ล่าสุด The new CLA ก่อนนำรุ่น CLA 250+ with EQ Technology มาจัดแสดงในประเทศไทยครั้งแรกที่งาน Motor Expo 2025 และคาดว่าจะเปิดให้จองในช่วงต้นปี 2026
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The new CLA ก้าวสำคัญของยุคใหม่ภายใต้แบรนด์ Mercedes-Benz
The new CLA ใช้แพลตฟอร์ม MMA (Mercedes-Benz Modular Architecture) ซึ่งออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับการผลิตได้ทั้งรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รถปลั๊กอินไฮบริด และรถสันดาปภายใน ซึ่งสอดคล้องกับการปรับกลยุทธ์ระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ยกเลิกการใช้ซับแบรนด์ Mercedes-EQ และนำรถยนต์ไฟฟ้ามาอยู่ภายใต้ชื่อ Mercedes-Benz โดยเพิ่มคำต่อท้ายรุ่นดังนี้
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% with EQ Technology รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด with EQ Hybrid Technology สำหรับประเทศไทย CLA 250+ with EQ Technology จะเป็นรถรุ่นแรกที่ประกอบในประเทศด้วยแพลตฟอร์ม MMA ช่วยให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเอื้อต่อการกำหนดโครงสร้างราคาที่แข่งขันได้ในอนาคต
กลยุทธ์ EV ในไทย เริ่มจาก Top-End Luxury สู่ Entry Luxury
มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับการทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้มีการใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ โดยเริ่มต้นด้วยการนำรุ่นแฟลกชิปในเซกเมนต์ Top-End Luxury อย่าง EQS มาเปิดตัวครั้งแรกในปี 2565 ทั้งรุ่นนำเข้าและรุ่นประกอบในประเทศ เพื่อทำให้คนไทยได้สัมผัสกับขั้นสุดของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับโลกจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ก่อนที่ในปี 2566–2567 จะเริ่มเปิดตัวรถยนต์ในเซกเมนต์ Entry Luxury อย่าง EQB 250 ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนไปถึงการเปิดตัว EQE 350 4MATIC SUV, EQE 53 4MATIC+, EQE 300 และ EQS 450 4MATIC SUV ตามลำดับ ซึ่งจากระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีความเข้าใจในโจทย์และความพร้อมของผู้บริโภคชาวไทยสำหรับการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นอย่างดี
โดยกลยุทธ์ด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ต่อจากนี้ หลังจากการเปลี่ยนผ่านของยุค Mercedes-EQ ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ คาดหวังให้ The new CLA เป็นโมเดลสำคัญที่จะเข้ามาตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทย ที่มองหารถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในเซกเมนต์ที่จับต้องได้ โดย CLA 250+ with EQ Technology จะเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ประกอบในประเทศไทยด้วยแพลตฟอร์ม MMA ที่ทำให้กระบวนการผลิตรถยนต์ของทุกระบบขับเคลื่อนมีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อการกำหนดโครงสร้างราคาของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่จะเปิดตัวในอนาคต”
แรงบันดาลใจการออกแบบ
เดนนิส บริงส์ Senior Designer แผนก Lights & Parts จากสตูดิโอ Mercedes-Benz Design เยอรมนี เผยว่า ออกแบบภายใต้แนวคิด “Sensual Purity” ดีเอ็นเอของแบรนด์ที่สะท้อนไอคอนนิกสไตล์ อันหรูหราและเรียบง่าย แต่ยังคงเปี่ยมไปด้วยความโดดเด่นที่สะกดทุกสายตา นำเสนอสัญลักษณ์ดวงดาวของแบรนด์ให้เข้ากับองค์ประกอบต่างๆ ของตัวรถ อาทิ กระจังหน้า Starpanel ในรูปแบบไฟแอนิเมชัน โคมไฟหน้าติดตั้ง Daytime Running Light รูปทรง Star Shaped และไฟท้าย Digital Jewelry ที่ผสานเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้ออกมาเป็นรายละเอียดของอัญมณีที่ลงตัว ดีไซน์ภายในของ The new CLA ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสวนหินญี่ปุ่น หรือ “Zen Garden” สะท้อนศิลปะแห่งการลดทอนและคงไว้เฉพาะสิ่งที่เป็นแก่นแท้ เหลือไว้เพียงส่วนประกอบที่เป็นหัวใจของวิศวกรรมยานยนต์ เช่น การใช้วัสดุกระจกบนจอกลาง MBUX Superscreen วัสดุโลหะบนคอนโซลกลาง และวัสดุหนังบนแผงบุนุ่มบริเวณข้างประตู
สมรรถนะและเทคโนโลยี
CLA 250+ with EQ Technology มาพร้อมสเปกน่าสนใจ กำลังสูงสุด 272 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 335 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ 800V ขนาด 85 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 792 กม./ชาร์จ (มาตรฐาน WLTP) DC Charge สูงสุด 320 kW ชาร์จ 10 นาที วิ่งต่อได้ 325 กม. ระบบปฏิบัติการใหม่ MB.OS ผสาน AI และผู้ช่วยเสมือน MBUX Virtual Assistance ที่ร่วมพัฒนากับ Google รองรับการเชื่อมต่อกับ ChatGPT, Gemini, Google Maps, Microsoft Teams, Webex, Zoom และอีกมากมาย
สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้จัดแคมเปญ “DEFINING ELECTRIC: Reimagine Intelligence.” รับข้อเสนอสุดพิเศษ กับส่วนลดสูงสุดถึง 3 ล้านบาท พร้อมร่วมทดลองขับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% กว่า 8 รุ่น ได้ที่โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) ในวันที่ 15-17 สิงหาคม 2568 และโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ (Central Village) ในวันที่ 23-24 และ 30-31 สิงหาคม 2568
