ไส้กรองเครื่องยนต์ ควร "เป่า" หรือควร "เปลี่ยน"

ในเครื่องยนต์ของรถยนต์นั้นมีระบบกรองอากาศ ซึ่งบางคนแทบจะลืมไปเลยด้วยซ้ำ เปลี่ยนไส้กรองเครื่องไปครั้งล่าสุดตอนไหน กลัวรถจะร้อนไปจอดรถไว้ใต้ต้นมะขามเป็นประจำ ปล่อยไว้จนถึงระยะเข้าศูนย์ ช่างถึงกับทัก มะขามหวานมั้ยพี่? ใบมะขามเล็กๆ เต็มไส้กรองอากาศ ไม่ได้เอาฮา! อันนี้เรื่องจริงที่ช่างหลายท่านเจอมากับตัว ว่าแล้ว... เจ้าไส้กรองเครื่องยนต์มันคืออะไร ทำหน้าที่ยังไงล่ะ

ไส้กรองเครื่องยนต์คืออะไร

หน้าที่ของไส้กรองอากาศของเครื่องยนต์ คือ ดักจับฝุ่น หลายปีมานี้ในบ้านเรา เป็นที่ทราบกันดีว่าบ้านเราฝุ่นเยอะ จากการการเติบโตของเมืองที่เจริญขึ้น การก่อสร้าง ตึก อาคาร บ้านช่อง การเผาขยะวัสดุต่างๆ ถือเป็นอันดับต้นๆ ของการเกิดฝุ่น แม้แต่การเผาไหม้ของรถยนต์เองก็ตามๆ แต่ในเครื่องยนต์เองตัวมีไส้กรองอากาศ เป็นชิ้นส่วนที่สำคัญที่เป็นตัวช่วยในการทำหน้าที่ช่วยกรองและดักจับฝุ่นละออง รวมไปถึงสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าสู่ห้องเผาไหม้เครื่องยนต์ ซึ่งหากไส้กรองอากาศเครื่องยนต์มีการอุดตัน ทำให้อากาศหรือออกซิเจนผ่านเข้าไปผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงได้น้อยลง และอาจส่งผลให้การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้การเร่งเครื่องยนต์ลดลงไปด้วย หากละเลยหนักก็ทำให้เครื่องยนต์รวนไม่เป็นท่าได้อยู่ ที่แปลว่า ไม่ได้นั่นแหละ

ไส้กรองอากาศมีกี่ประเภท ใช้งานยังไง?

พอจะรู้จักไส้กรองอากาศเครื่องยนต์กันไปคร่าวๆ แล้วว่าทำหน้าที่อะไร มีดูกันบ้างว่า ไส้กรองอากาศมีกี่ประเภท แล้วแต่ละประเภท มีข้อดี ข้อเสีย และการใช้งานอย่างไร

- ไส้กรองอากาศแบบกระดาษ ทำมาจากกระดาษชุบน้ำมัน เป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะราคาถูก ข้อเสียคือ ไม่สามารถถอดมาล้างได้ การใช้งานง่ายมากๆ คือ ถอดออกเปลี่ยนของใหม่ ของเก่าทิ้งได้เลย

- ไส้กรองอากาศแบบผ้า สามารถกรองฝุ่นละอองได้ในระดับหนึ่ง อากาศไหลเวียนได้มากกว่า และสามารถถอดออกมาทำความสะอาดได้ เป่าได้ ล้างก็ได้ ใช้งานซ้ำได้ ข้อเสียคือมีราคาสูงกว่าแบบกระดาษ

- ไส้กรองแบบสแตนเลส ใช้สำหรับรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูง เนื่องจากต้องการการไหลเวียนอากาศมากกว่าแบบอื่น มีข้อเสียคือ สิ่งสกปรกเข้าไปในระบบได้ง่าย แต่เป่าได้ล้างน้ำได้ และราคาสูงกว่าแบบอื่นๆ

- ไส้กรองแบบ HEPA ย่อมาจาก High Efficiency Particulate Air Filter ไส้กรองชนิดใหม่ล่ามาแรง แซงทุกสถาบัน ซึ่งทางสหรัฐอเมริกาเป็นผู้จัดตั้งมาตรฐาน เป็นไส้กรองมาตรฐานสูง กรองฝุ่นมลผลพิษได้มากกว่า 0.3 ไมครอน แบ่งออกเป็น 8 คลาส ในแต่ละคลาสจะกรองมลพิษได้ต่างกัน ผลิตจากเส้นใยไฟเบอร์กลาส สามารถกรองได้ในระดับดีเลยทีเดียว ทั้ง กรองฝุ่นระดับไมครอนได้ กรองเชื้อโรค แบคทีเรีย และไวรัสต่างๆ เอาอยู่ เจ้าพวกนี้ไม่สามารถผ่านทะลุไส้กรองประเภทนี้ไปได้ และหลายๆ วงการก็หยิบนำมาใช้ อย่าง ในภาคครัวเรือน ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ในโรงพยาบาล รวมไปถึงในเครื่องใช้ไฟฟ้าเค้าก็เอาไปใช้กัน อย่าง เครื่องปรับอากาศ เครื่องดูดฝุ่น เครื่องฟอกอากาศ ข้อเสียคือ ไม่สามารถล้างน้ำได้ แต่ข้อดีเพียงแค่ เคาะๆ เอาแปรงปัดฝุ่นเบาๆ ก็ออกแล้ว

ควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศตอนไหน?

การดูแลแก้ไขในเบื้องต้นที่เราทำได้ง่ายสุด คือ “เป่า” ไม่ยังไม่ถึงอายุ ที่ต้อง “เปลี่ยน” มันทิ้งไป โดยส่วนใหญ่ ไส้กรองอากาศจะมีอายุการใช้งานตามระยะทางที่ใช้รถ ส่วนใหญ่ผู้ใช้รถนิยมเอามา “เป่า” ทุกๆ 10,000 กิโลเมตร บางคนรักรถมากก็ เป่าบ่อยหน่อย และมักจะ “เปลี่ยน” กันอยู่ที่ประมาณ 10,000 - 20,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับการใช้รถด้วยว่ามากน้อยแค่ไหน หากไม่อยากให้เกิดการอุดตัน และปิดกั้นอากาศที่ไหลผ่านเข้าเครื่องยนต์ ซึ่งทำให้ส่วนผสมหนาเกินไป จะทำให้เครื่องยนต์หน่วง เร่งไม่ขึ้น รอบขึ้นช้า และสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยใช่เหตุ นอกจากนี้ยังทำให้มลพิษของไอเสียเพิ่มขึ้น มีควันดำ เครื่องยนต์สึกหรอเร็วกว่าเดิมด้วย

ก็พอจะทราบกันแล้วว่าไส้กรองอากาศเครื่องยนต์ ก็เป็นส่วนที่สำคัญของรถยนต์อยู่ไม่น้อย ควรดูแลทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งถ้าใช้งานในยุคฝุ่นเยอะแบบนี้แล้ว ก็ควรจะดูแลมากขึ้นเป็นพิเศษ