การเงิน

ส่องหุ้นกู้ผิดนัดชำระ ปี 66 สมาคมตราสารหนี้แนะหุ้นกู้กลุ่มไฮยิลด์-เรทติ้งต่ำกว่า BBB-

11 ม.ค. 67
ส่องหุ้นกู้ผิดนัดชำระ ปี 66 สมาคมตราสารหนี้แนะหุ้นกู้กลุ่มไฮยิลด์-เรทติ้งต่ำกว่า BBB-

จากสถานการณ์การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ เริ่มมีออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวหรือไม่ สภาพคล่องของบริษัทที่ออกหุ้นกู้หดหายไม่มีเงินมาชำระหนี้คืน ธุรกิจยังสามารถไปต่อได้ไหม แล้วหุ้นกู้ของบริษัทอื่นๆ จะมีโอกาสผิดนัดชำระอีกมั้ย

ที่ผ่านมาเกิดขึ้นแล้วกี่บริษัท ภาคธุรกิจใดที่น่าเป็นห่วง และนักลงทุนที่ถือหุ้นกู้ควรทำอย่างไร คำถามมากมายที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนที่ถือหุ้นกู้อยู่ในขณะนี้ 

วันนี้ SPOTLIGHT พามาหาคำตอบกัน จากสมาคมตราสารหนี้ไทยที่จะพามาเห็นภาพรวมของตลาดตราสารหนี้ไทย และทิศทางต่อจากนี้ 

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ไทยปี 2566

  • มูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย 16.5 ล้านล้านบาท ขยายตัว 5.4% จากปี 2565
  • ภาคเอกชนออกหุ้นกู้ระยะยาวกว่า 1 ล้านล้านบาท
  • หุ้นกู้ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม Investment grade
  • อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้น 5 ครั้ง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและตราสารหนี้ภาคเอกชนปรับตัวสูงขึ้น
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิตราสารหนี้ไทยติดต่อกันใน 3 ไตรมาสแรกของปี ก่อนจะพลิกกลับเป็นการซื้อสุทธิในไตรมาส 4

สำหรับภาพรวมตลาดตราสารหนี้ไทยปี 2566 ขยายตัวได้ 5.4% จากปี 2565 จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลและภาคเอกชนเป็นหลัก โดยภาคเอกชนมีการออกหุ้นกู้ระยะยาวกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม Investment grade สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการระดมทุนของภาคเอกชนที่ยังอยู่ในระดับสูง

อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยปรับขึ้น 5 ครั้งในปี 2566 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและตราสารหนี้ภาคเอกชนปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 2 ปี ปรับตัวสูงขึ้น 71 bps. มาอยู่ที่ 2.34% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้น 6 bps. มาอยู่ที่ 2.70%

กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund flow) ของนักลงทุนต่างชาติในปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิตราสารหนี้ไทยติดต่อกันใน 3 ไตรมาสแรกของปี ก่อนจะพลิกกลับเป็นการซื้อสุทธิในไตรมาส 4 หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มมีความชัดเจนในการยุติการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย

โดยนายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เผยถึงมุมมองเศรษฐกิจนับจากนี้ไปว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่ท้าทายดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง สงครามความขัดแย้ง และเศรษฐกิจประเทศที่เกี่ยวข้องกับไทยยังมีปัญหา ทำให้ภาพการลงทุนอยู่ในโหมดระมัดระวัง แต่ยอมรับว่าคาดเดายากว่าจะมีหุ้นกู้ที่มีปัญหาหรือเสี่ยงที่จะเป็นหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระมากน้อยแค่ไหน

โดยล่าสุด หุ้นกู้ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเม้นต์ (ITD)ยังไม่ Default ซึ่งจะจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 17 ม.ค. นี้ ที่จะเจรจาขอยืดหนี้ 2 ปี

“แม้จะมีการผิดนัดของหุ้นกู้บางบริษัท ก็เชื่อว่าผู้ลงทุนสามารถแยกแยะได้ ไม่น่าจะกระทบการลงทุนหุ้นกู้ ควรระมัดระวังในการลงทุน ควรลงทุนในหุ้นกู้ที่มีเรทติ้งไม่ต่ำกว่า BBB-” นายสมจินต์ กล่าวถึงมุมมองในเรื่องนี้

ด้านนางสาวอารยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ThaiBMA. ชี้ให้เห็นว่า ในปี 66 หุ้นกู้เอกชนออกใหม่ยังแตะ 1,018,690 ล้านบาท โดย 91% เป็นหุ้นกู้ Investment Grade มูลค่า 926,713 ล้านบาท ขณะที่ อีก 9% เป็น High yield มูลค่า 91,977 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่า ปี 65 ที่มี 1,261,548 ล้านบาท เป็นหุ้นกู้ Investment Grade มูลค่า 1,131,282 ล้านบาท และ High yield มูลค่า 130,266 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม มองว่านักลงทุนควรมีความระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทขนาดใหญ่ อาจมีแหล่งเงินกู้อื่นในช่วงดอกเบี้ยขึ้นสูง อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่าสัดส่วนให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (PO) มากขึ้น โดยปี 66 มีสัดส่วน 39% จากปี 65 อยู่ที่ 29%

ปี 2566 มีหุ้นกู้ผิดนัดชำระ 6 ราย

สำหรับหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระในปี 66 มูลค่ารวม 16,363 ล้านบาท ได้แก่

  • หุ้นกู้ บมจ. ออลล์อินสไปร์ (ALL) (Non-rated) 7รุ่น รวม 2,334 ล้านบาท
  • หุ้นกู้ บมจ.สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) (BBB+) 5 รุ่น มูลค่า 9,198 ล้านบาท
  • หุ้นกูบมจ.ช.ทวี (CHO ) (Non-rated) 4 รุ่น 409 ล้านบาท
  • หุ้นกู้ DR (Non-rated) 2 รุ่น 1,210 ล้านบาท
  • หุ้นกู้ บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (Non-rated) 7 รุ่น มูลค่า 3,212 ล้านบาท
  • ล่าสุดหุ้นกู้ PPH บริษัทอสังหาฯขนาดเล็ก (Non-rated) 1 รุ่น 392 ล้านบาท

ปัจจุบันมูลค่าคงค้างที่มีปัญหา ณ สิ้นปี 66 รวม 39,412 ล้านบาท (ไม่รวมหุ้นกู้ที่อยู่ในการฟื้นฟูกิจการ) โดยจำนวนนี้ หุ้นกู้ Default 22,295 ล้านบาท

แนวทางการช่วยเหลือหุ้นกู้ผิดนัดชำระ

ในปีนี้ ThaiBMA มีแนวทางการดำเนินงานในการช่วยแก้ไขปัญหาหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระ หรือหุ้นกู้ที่มีปัญหา ดังนี้

  1. เพิ่มการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของ Issuer และ การเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรม เพื่อให้นักลงทุนมีข้อมูลครบถ้วนในการตัดสินใจลงทุน โดยได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 
  2. จัดทำ High Yeild bond covenant (ข้อกำหนดทางการเงินที่ Issuer ต้องปฏิบัติ) ที่ครอบคลุมเงื่อนไขสำคัญ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุน 
  3. จัดทำสัญญามาตรฐานของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อเพิ่มหน้าที่ของ Issuer และนายทะเบียนที่มีต่อผู้แทนผู้ถือหุ้นหุ้นกู้ในการทำหน้าที่ปกป้องประโยชน์ของนักลงทุนให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ThaiBMA ได้ร่วมกับ ก.ล.ต. คาดว่าแนวปฏิบัติดังกล่าวจะเริ่มใช้ได้ในปลายปีนี้ ส่วนกองทุนพยุงหุ้นกู้ นางสาวอริยา กล่าวว่า ตอนนี้กองทุนนี้หมดอายุแล้ว และปกติจะเข้าช่วยหุ้นกู้ Investment grade

แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทยปี 2567

  • ประมาณการยอดการออกหุ้นกู้ระยะยาว 0.9-1.0 ล้านล้านบาท
  • อัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะคงอยู่ ณ ระดับปัจจุบันที่ 2.50% ไปอีกระยะหนึ่ง
  • Bond yield ไทยรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี อาจปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ย 5-10 bps. จากปลายปี 2566

สำหรับแนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทยปี 2567 คาดว่ายอดการออกหุ้นกู้ระยะยาวจะอยู่ที่ 0.9-1.0 ล้านล้านบาท อัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะคงอยู่ ณ ระดับปัจจุบันที่ 2.50% ไปอีกระยะหนึ่ง และ Bond yield ไทยรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี อาจปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ย 5-10 bps. จากปลายปี 2566

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อตลาดตราสารหนี้ไทยปี 2567 ได้แก่

  • ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและสหรัฐฯ
  • ภาวะเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ
  • สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน

กล่าวโดยสรุป ตลาดตราสารหนี้ไทยปี 2566 ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการระดมทุนของภาคเอกชนที่ยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับตัวสูงขึ้นอาจส่งผลต่อผลตอบแทนของตราสารหนี้ไทยในระยะสั้น

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT