การเงิน

ราคาทองคำมีโอกาสทำนิวไฮได้อีกหรือไม่ หลังเฟดส่งสัญญาณเลื่อนลดดอกเบี้ย

29 เม.ย. 67
ราคาทองคำมีโอกาสทำนิวไฮได้อีกหรือไม่ หลังเฟดส่งสัญญาณเลื่อนลดดอกเบี้ย
ไฮไลท์ Highlight
  • 12 เม.ย. ราคาทองคำได้สร้างระดับสูงสุดใหม่ครั้งล่าสุดที่ 2,431.26 ดอลลาร์ต่อออนซ์

  • เมื่อมีการดีดตัวขึ้นไปในระดับสูง ดังที่เกิดขึ้นหลังราคาทองคำสร้างระดับสูงสุดครั้งใหม่ แล้วมีการทิ้งตัวลงของราคาเกือบ 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์

  • สถาบันการเงินรายใหญ่หลายแห่ง ได้ออกมาปรับคาดการณ์ต่อประเด็นอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยให้มีแนวโน้มที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น ซึ่งนับเป็นการเพิ่มมุมมองเชิงลบต่อราคาทองคำ แต่กระแสคาดการณ์ต่อประเด็นนดอกเบี้ยของเฟดยังคงมีความไม่แน่นอน 

  • ซิตี้กรุ๊ปประเมินว่า ราคาอาจขึ้นไปแตะที่ระดับ 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ปรับเป้าหมายระดับสูงสุดของราคาทองคำในปีนี้ ให้ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำมีการสร้างระดับสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 12 เม.ย. ราคาทองคำได้สร้างระดับสูงสุดใหม่ครั้งล่าสุดที่ 2,431.26 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญ จากความตึงเครียดของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ความต้องการซื้อทองคำที่แข็งแกร่งของจีน และความเป็นไปได้ต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางชั้นนำภายในปีนี้  

อย่างไรก็ดี หลังจากราคาทองคำขึ้นไปแตะระดับดังกล่าว พบการเหวี่ยงตัวลงเกือบ 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สอดคล้องกับค่าเงินดอลลาร์ที่มีการปรับตัวขึ้นไปยืนเหนือระดับดัชนี 106.00 สูงสุดในรอบกว่า 5 เดือน เช่นเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่เคลื่อนไหวบริเวณระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน ซึ่งเป็นไปตามการหั่นโอกาสของนักลงทุนต่อแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ได้ถึง 3 ครั้ง ตามที่เคยส่งสัญญาณไว้

นอกจากนั้น สถาบันการเงินรายใหญ่หลายแห่ง ได้ออกมาปรับคาดการณ์ต่อประเด็นอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยให้มีแนวโน้มที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น ซึ่งนับเป็นการเพิ่มมุมมองเชิงลบต่อราคาทองคำ แต่กระนั้น สถาบันการเงินบางส่วนมีการปรับเป้าหมายระดับสูงสุดของราคาทองคำขึ้น จึงเป็นที่น่าสนใจว่า ราคาทองคำมีทิศทางอย่างไร ท่ามกลางแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟด

เฟดส่งสัญญาณเลื่อนลดอัตราดอกเบี้ย หลังเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐแกร่งเกินคาด

ในปัจจุบัน ข้อมูลจาก FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักสูงสุดต่อคาดการณ์ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนก.ย. พร้อมประเมินขนาดการปรับลดในปีนี้เหลือเพียง 2 ครั้ง หรือราว 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ซึ่งนับว่ากระแสคาดการณ์ของตลาดนั้น มีทิศทางที่เข้มงวดกว่าคาดการณ์ของเฟด เนื่องด้วยคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสุดท้ายในปี 2024 ของเฟด อยู่ที่ระดับ 4.6% หรือเท่ากับขนาดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ 3 ครั้ง จากกรอบปัจจุบันที่ 5.25-5.50%

อนึ่ง กระแสคาดการณ์ของตลาดถูกปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยมา และมีแนวโน้มที่อาจมีการปรับให้เข้มงวดมากขึ้นไปอีก โดยสถาบันการเงินรายใหญ่อย่าง แบงก์ ออฟ อเมริกา (BofA) ปรับคาดการณ์ต่อขนาดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดให้เหลือเพียง 1 ครั้งภายในปีนี้ และจะเกิดขึ้นในเดือนธ.ค. จากเดิมที่คาดการณ์ขนาดการปรับลดที่ 3 ครั้ง และจะเริ่มขึ้นในเดือนมิ.ย.  เช่นเดียวกันกับทางดอยซ์แบงก์ (Deutsche Bank) และบาร์เคลย์ส (Barclays) ที่ปรับคาดการณ์ต่อขนาดการปรับลดของเฟดให้เหลือเพียง 1 ครั้งภายในปีนี้ ต่างที่ทางบาร์เคลย์สประเมินว่า การปรับลดครั้งแรกจะเกิดขึ้นในเดือนก.ย.

ทั้งนี้ การปรับคาดการณ์ดังกล่าว ถูกผลักดันจากทิศทางการเติบโตที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐ สะท้อนผ่านดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เร่งตัวขึ้นสูงกว่าคาดการณ์ นับตั้งแต่เดือนม.ค. เป็นต้นมา ขณะที่ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ยังคงออกมาสูงกว่าคาดการณ์เช่นกัน บ่งชี้ถึงภาวะตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ สถานการณ์เช่นนี้ แม้จะเพิ่มมุมมองเชิงบวกทางเศรษฐกิจ แต่นับว่าได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการบรรลุเป้าหมายด้านเงินเฟ้อของเฟดเช่นกัน ส่งเสริมให้เฟดรักษาความเข้มงวดในการดำเนินนโยบายการเงินต่อไป

ราคทงอคำ เฟดลดดอกเบี้ย

ทั้งนี้ การให้ถ้อยแถลงครั้งล่าสุดของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้ระบุในลักษณะที่ว่า ข้อมูลเงินเฟ้อในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของเฟดจากช่วงก่อนหน้า ซึ่งทิศทางเงินเฟ้อเช่นนี้ ไม่อาจทำให้เฟดมีความมั่นใจที่มากเพียงพอต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง และยังบ่งชี้ถึงความจำเป็นต่อการใช้ระยะเวลานานกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ สำหรับการรักษาระดับความเข้มงวดของนโยบายการเงิน และนายพาวเวลได้ย้ำว่า หากเงินเฟ้อยังคงค้างตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เฟดอาจต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับปัจจุบัน นานตราบเท่าที่เฟดเห็นว่าจำเป็น

จากการส่งสัญญาณดังกล่าวของนายพาวเวล หลายฝ่ายเพิ่มความเป็นไปได้ที่เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้เพียง 1-2 ครั้ง ในปีนี้ โดยช่วงเวลาการเริ่มปรับลดของเฟดนั้นแม้คาดการณ์หลักชี้ว่า อาจเกิดขึ้นในเดือนก.ย. แต่มีความเป็นไปได้มากเช่นกันที่คาดการณ์หลักของตลาดอาจมีการเลื่อนไปที่พ.ย. หรือธ.ค. ในระยะข้างหน้า

ทิศทางของกระแสคาดการณ์ที่อาจมีความเข้มงวดขึ้น มีส่วนหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐสามารถรักษาการทรงตัวในระดับสูง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่คอยกดดันให้ราคาทองคำเหวี่ยงตัวลง เมื่อมีการดีดตัวขึ้นไปในระดับสูง ดังที่เกิดขึ้นหลังราคาทองคำสร้างระดับสูงสุดครั้งใหม่ แล้วมีการทิ้งตัวลงของราคาเกือบ 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ราคาทองคำยังลุ้นสร้างนิวไฮ ท่ามกลางแนวโน้มการตรึงอัตราดอกเบี้ยของเฟด

อย่างไรก็ดี กระแสคาดการณ์ต่อประเด็นอัตราดอกเบี้ยของเฟดยังคงมีความไม่แน่นอน โดยแม้สถาบันการเงินรายใหญ่จำนวนหนึ่ง ออกมาปรับคาดการณ์ต่อประเด็นดังกล่าวให้มีทิศทางเข้มงวดมากยิ่งขึ้น แต่ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินอีกส่วนหนึ่งยังคงประเมินว่า ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐและเงินเฟ้อสหรัฐ มีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะข้างหน้า ซึ่งทำให้เฟดจะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้เท่ากับหรือมากกว่าที่เคยส่งสัญญาณไว้

หนึ่งในนั้น คือ ซิตี้กรุ๊ป ที่ยังคงคาดการณ์ต่อขนาดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ 5 ครั้ง หรือ 1.25% และคงช่วงเวลาการเริ่มปรับลดไว้ในเดือนมิ.ย. ซึ่งหากเฟดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามคาดการณ์ของซิตี้กรุ๊ป มีแนวโน้มที่ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐจะปรับตัวลงอย่างมาก จากระดับปัจจุบัน ซึ่งนับว่าเป็นสถานการณ์เชิงบวกของราคาทองคำ สอดคล้องกับเป้าหมายระดับสูงสุดของราคาทองคำในปีนี้ ที่ทางซิตี้กรุ๊ปประเมินว่า อาจขึ้นไปแตะที่ระดับ 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2024

อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากมุมมองเชิงบวกต่อประเด็นอัตราดอกเบี้ยของเฟดแล้ว เป้าหมายดังกล่าวยังถูกชี้นำด้วยแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากสถานการณ์ในพื้นที่ตะวันออกกลาง และสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อและอาจมีการยกระดับความรุนแรงขึ้นในระยะต่อไป รวมถึงแนวโน้มการเข้าซื้อทองคำที่แข็งแกร่งของจีน ทั้งจากธนาคารกลาง นักลงทุน และผู้บริโภครายย่อย

ทั้งนี้ ด้วยซิตี้ที่มีมุมมองเชิงบวกต่อประเด็นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทำให้การประเมินราคาทองคำอาจมีมุมมองเชิงบวกสูงตามไปด้วย แต่กระนั้น ทางโกลด์แมน แซคส์ ที่มีการปรับคาดการณ์ต่อขนาดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดให้เหลือเพียง 2 ครั้ง ในปีนี้ และเลื่อนคาดการณ์ช่วงเวลาในการเริ่มปรับลดไปยังเดือนก.ค. นั้น มีการปรับเป้าหมายระดับสูงสุดของราคาทองคำในปีนี้ ให้ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์

จากข้างต้น สะท้อนได้ว่าราคาทองคำมีมุมมองเชิงบวกในระดับสูง ซึ่งวายแอลจีมองว่า เป็นผลมาจากการที่ตลาดยังคงไม่ละทิ้งความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มที่เฟดจะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ เนื่องด้วยเฟดมีการส่งสัญญาณต่อการสิ้นสุดวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว ทำให้แม้เฟดจะยืดระยะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไป และอาจลดขนาดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ส่งผลให้ก้าวต่อไปทางนโยบายการเงินของเฟดนั้น ยังคงถูกประเมินว่าเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

จากความเชื่อมั่นต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลงของเฟด สถานการณ์ในพื้นที่ตะวันออกกลาง และสถานการณ์ระหว่างรัสเซียที่ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อและอาจมีการยกระดับความรุนแรงขึ้นในระยะต่อไปและแนวโน้มการเข้าซื้อทองคำที่แข็งแกร่งของจีนทั้งหมดนี้ ทำให้ทองคำมีมุมมองเชิงบวกในระดับสูง จึงยังมีแนวโน้มที่ราคาทองคำจะสร้างระดับสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง

กระนั้น แนะนำนักลงทุนวางแผนการลงทุนด้วยความระมัดระวัง โดยแม้ราคาทองคำจะสามารถรักษาการเคลื่อนไหวในระดับสูง รวมถึงมีแนวโน้มสร้างระดับสูงสุดใหม่ แต่การเหวี่ยงตัวลงของราคาทองคำอาจเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง จนกว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะมีความชัดเจนมากขึ้นจากปัจจุบัน

ฐิภา นววัฒนทรัพย์

ฐิภา นววัฒนทรัพย์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท YLG Bullion And Future จำกัด

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT