จากกรณีเจ้าหน้าที่ทหารเรือปฏิบัติหน้าที่ ใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มชาวบ้านชาวไทย ที่ลักลอบขนยางพาราแผ่นหนีภาษีเข้าไทย บริเวณริมลำน้ำกระบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งเมียนมาราว 150 เมตร พื้นที่บ้านหัวถนน อ.กระบุรี จ.ระนอง เป็นเหตุให้นายรัฐเขต ลอยแก้ว ถูกยิงตกน้ำ ร่างสูญหายไปเมื่อวันที่ 15 มี.ค. 64 เวลา 11.00 น. ก่อนพบว่าเสียชีวิต
วันที่ 18 มี.ค. 64 ที่ห้องนิติเวช โรงพยาบาลระนอง นายจ๊อย ภูมิพูชนะ พ่อ, นางกาหลง ลอยแก้ว แม่ และบรรดาญาติของผู้เสียชีวิต เดินมารับศพ หลังแพทย์นิติเวชโรงพยาบาลระนอง ทำการชันสูจน์พลิกศพหาสาเหตุการณ์การเสียชีวิตอย่างละเอียด เพื่อนำศพไปบำเพ็ญกุศลทางศาสนาที่บ้านใน อ.กระบุรี
ต่อมาได้มีตัวแทนจากทัพเรือภาคที่ 3 ได้นำเงินช่วยเหลือในการทำศพเบื้องต้น พร้อมรับปากว่าหากทางครอบตัวต้องการให้ช่วยสิ่งใดจะส่งเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปช่วยในพื้นที่ และจะมีการส่งตัวแทนเข้าไปพูดคุยอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
พล.ร.ต.อาภากร อยู่คงแก้ว รองผู้บัญชาการกองทัพเรือภาคที่ 3 เดินทางมาที่ศูนย์ประสานงานประมงชายแดนทางทะเลไทย-เมียนมา เพื่อร่วมประชุมกับหน่วยงานความมั่นคงฯ กล่าวว่า กรณีที่การทำงานของเจ้าหน้าที่ซึ่งมีการยิงจนเกิดการเสียชีวิต ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมาย ทางกองทัพพร้อมให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ผิดก็ว่ากันไปตามผิดตามกฎหมาย ในส่วนของเรื่งครอบครั วเบื้องต้นได้ช่วยเหลือค่าทำศพไปแล้วจำนวนหนึ่ง ส่วนเรื่องการเยียวยาหรือการพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดกับทางครอบครัวผู้เสียชีวิตจะดำเนินการในขั้นต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นทางทัพเรือภาคที่ 3 และศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ทางทะเลภาค 3 ยังคงต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องการป้องกันลักลอบหลบหนีเข้าเมืองจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันโควิด-19 การป้องกันสินค้าหนีภาษีเช่นกัน
วันที่ 18 มี.ค. 64 นายบาส (นามสมมติ) น้าของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ตนเองได้รับการติดต่อว่าจ้างให้ไปขับเรือขนยางพาราแผ่นจากฝั่งเมียนมา ค่าจ้างเที่ยวละ 400 บาท/คน ตนเองเดินทางไปกับผู้ตาย 2 คน พวกตนมีหน้าที่แค่ขับเรือเท่านั้นนายรัฐเขตเป็นคนขับ ส่วนตัวนั่งไปด้วย วันนั้นตนเองล่องเรือออกไปจากฝั่งไทยไป 06.00 น. เพื่อไปที่ฝั่งเมียนมาตามนัดหมาย โดยท่าฝั่งเมียนมาอยู่ห่างไปราว 1 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 30 นาที
เมื่อตนไปถึงก็จะมีชาวเมียนมา 4-5 คน นำรถกระบะขนยางพาราแผ่นมาเป็นมัด มัดละราว 50 กิโลกรัม จากนั้นก็จะขนลงมาที่เรือ ตนเองมีหน้าที่แค่ขับเรือ อาจมีช่วยจับหยิบยางบ้างเล็กน้อย ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงเศษ จากนั้นก็ล่องเรือกลับมาเลียบฝั่งเมียนมาจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฝั่งไทย ตนเองและหลานจอดเรือรออีก 10 นาที เพื่อให้คนที่ฝั่งไทยโทรศัพท์แจ้งว่าสามารถข้ามมาได้ ตนเองก็จึงขับเรือเข้ามาที่ฝั่ง เมื่อมาถึงมีคนไทยราว 4-5 คนจอดรถกระบะสีบรอนซ์รออยู่ 1 คัน ตนเองไม่รู้จักว่าเป็นใคร เพราะก็ถูกว่าจ้างมาอีกที จากนั้นก็มีการขนยางแผ่นลงจากเรือ ขึ้นมาที่รถกระบะได้ราว 8-9 มัด ปรากฎว่าก็มีเสียงปืนดัง 1 นัด ตอนนั้นต่างคนต่างหนี ส่วนตนและผู้ตายกระโดดลงน้ำ ตนบอกหลานให้ลงน้ำเพื่อหนีกระสุน
ทั้งนี้ เท่าที่ตนเห็นมีเจ้าหน้าที่ 2 นายถืออาวุธปืนอยู่บนฝั่งไทย ตนเองดำผุดดำโผล่อยู่ในน้ำราว 3-4 ครั้ง เห็นเจ้าหน้าที่เล็งกระบอกปืนมาที่หลานตน แต่ตนไม่เห็นตอนยิง ส่วนตัวก็ดำน้ำไปเพื่อหลบหนี ลักษณะการดำคือ ดำซิกแซก เพื่อหลบวิถีกระสุน ส่วนตัวมีโอกาสได้พูดกับเจ้าหน้าที่ว่า "คนไทย อย่ายิง ๆ" แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังยิง ทำเหมือนตนเองเป็นคนร้ายคดีร้ายแรง ตนเองจึงไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากดำน้ำหนี ยืนยันว่าฝ่ายตนไม่มีอาวุธ ไม่มีของผิดกฎหมาย ไม่มีสิ่งเสพติด ไม่มีรถกระบะ 4 คันตามที่เป็นข่าว มีแค่กระบะคันเดียวที่หนี ไม่มีเรือลำไหนขับหนีออกจากท่า มีแต่เรือตนที่คนตายเป็นคนขับ จอนที่ตนเองอยู่ในน้ำ ได้ยินเสียงคนบนฝั่งพูดกับเจ้าหน้าที่ทำนองว่า "จะยิงให้ตายเลยหรอ" เจ้าหน้าที่พูดว่า "ยิงให้ตาย"
ส่วนตัวตอนนั้นไม่คิดว่าจะรอด และตนไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่จะทำรุนแรงเช่นนี้ ตนเองยอมรับผิดที่ขนของหนีภาษี หากตำรวจเรียกก็จะไปพบ ตนทำแบบนี้มาแล้ว 3 ครั้ง ตนเองอยากให้ทหารที่ก่อเหตุมารับผิดชอบ เพราะตอนที่หาศพทหารก็ไม่มา มาเพียงครั้งเดียวไม่ถึง 30 นาที วันเจอศพก็ไม่มา มีแต่ชาวบ้านช่วยกันค้นหาร่างเอง
ทีมข่าวเดินทางมาที่จุดเกิดเหตุ อยู่ริมน้ำกระบุรี ฝั่งตรงข้ามคือเขตเมียนมาห่างไปราว 150 เมตร ส่วนท่าเทียบเรืออยู่ห่างไปราว 1 กิโลเมตร พบจุดที่ใช้ขนยางฝั่งไทย มีไม้กระดาน ลักษณะเป็นบันไดเพื่อไต่เดินขึ้นฝั่ง ญาติผู้ตายพาทีมข่าวไปดูจุดด้านใน เป็นพุ่มไม้ สูง 3 เมตร ลักษณะที่พื้นเป็นทางที่มีรอยคนเดินอยู่แล้ว ซึ่งคาดว่าเจ้าหน้าที่มาซุ่มดูเหตุการณ์ที่จุดนี้
นางพิมพ์ (นามสมมติ) ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ท่าเรือ เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุตนเองอยู่ในบ้าน กำลังจะไปเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงปืนดัง 3 นัด ตนเองตกใจจึงออกมาดู พบเจ้าหน้าที่แต่งตัวมิดชิด ปิดบังใบหน้ายืนอยู่ 2 นาย ในมือมีปืนแบบยาว และเล็งปืนยิงไปที่น้ำ ตนเองดูด้วยความตกใจ ตอนนั้นความรู้สึกเหมือนในหนัง จุดเกิดเหตุไม่มีรถสักคันแล้ว เห็นแต่ว่ามีคนอยู่ในน้ำ ตนไม่ได้คุยอะไรกับเจ้าหน้าที่ แต่ได้ยินเจ้าหน้าที่คุยกันว่า "เอาให้ตาย จะได้ไม่ทำอีก" ตนมองว่าเจ้าหน้าที่ทำเกินไป ตั้งแต่อยู่ตรงนี้มาไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน หากมีอีกครั้งตนเองกลัวจะหัวใจวายตายก่อน
นายธง (นามสมมติ) ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุเวลา 11.00 น. ตนเองนั่งทำงานอยู่ได้ยินเสียงปืนดังมาจากแถวท่าน้ำ หันไปตอนนั้นเห็นเจ้าหน้าที่ 2 นาย คาดว่าเจ้าหน้าที่มาจากด้านหลัง ไม่ได้ผ่านถนนเส้นหลัก ตนก็เห็นว่ามีคนมาขนยางแผ่นจริง มีกระบะมา 1 คัน เท่าที่ตนรู้ปกติชาวบ้านที่ขนยางส่วนใหญ่เจ้าของยางก็คือคนไทย ที่มีที่ดินอยู่ฝั่งเมียนมา ซึ่งก็จะมีความผิดเรื่องหนีภาษี เจ้าหน้าที่หลังปรากฏตัวก็ยิงแบบเว้นช่วง ๆ ยิงไล่มาเรื่อย ๆ หลาย 10 นัด มีช่วงหนึ่งมาอยู่แถวหน้าบ้านตนที่ริมตลิ่งจะมีเขื่อนปูนเป็นราวเหล็ก เจ้าหน้าที่ใช้ปืนพาดราวเหล็กและยิงเล็งไปที่เรือ ช่วงหนึ่งตนตะโกนไปยังเจ้าหน้าที่ว่า "อย่ายิง คนแก่จะเป็นลมตายหมด" เจ้าหน้าที่หันมาพูดกับตนว่า "คนไม่เกี่ยวอย่าออกมา" จากนั้นก็ไม่มีใครกล้าทำอะไร แม้แต่หยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายไว้
จากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ผ่านบ้านตนไป และมีรถกระบุ อีซูซุ ดีแม็กซ์ 4 ประตู สีบรอนซ์เงิน ไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนขับมาทางปกติ มาจอดแถวท่าน้ำ และเจ้าหน้าที่ 2 นายก็เดินกลับมา มีเจ้าหน้าที่อีก 5 คนลงมาจากรถ รถคันนี้มารับเจ้าหน้าที่ที่ยิง 2 นายไป และขับออกไปด้านหลังที่เป็นทางลูกรัง ตนเองมองว่าการกระทำเจ้าหน้าที่ไม่ยุติธรรม ถึงจะขนของผิดกฎหมาย หากจะจับก็คงไม่เป็นอะไร คนไทยด้วยกัน ไม่น่ายิงตายแบบนี้ ที่ผ่านมาท่านี้จะมีคนข้ามไปมาประจำ คล้ายผ่อนปรน มีช่วงโควิด-19 ที่ห้ามขึ้นฝั่ง แต่ข้ามไปมาได้ อีกทั้งจุดนี้ไม่เคยมีการลักลอบขนแรงงานแต่อย่างใด
ทีมข่าวได้ภาพนิ่งวงจรปิด ชายใส่ชุดปิดบังใบหน้ามาในพื้นที่ช่วงที่เกิดเหตุ ตรงกับพยานที่เห็นเหตุการณ์ให้ข้อมูลไว้
ทีมข่าวเดินทางมาที่บ้านของนายรัฐเขต ลอยแก้ว ผู้เสียชีวิต มีการตั้งศพทำพิธีทางศาสนาที่บ้าน นางแก้ว (นามสมมติ) แม่ของผู้ตาย เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุ ลูกชายอยู่บ้านช่วงเช้าปกติ ตื่นมาก็ยังเจอกัน ไม่ได้พูดอะไรกัน ตนเองจะออกไปตลาด ลูกก็ถามว่าจะให้ไปส่งหรือไม่ ตนเองก็ปฏิเสธ ลูกก็บอกว่าจะออกไปรับจ้าง จากนั้นตนเองมาทราบว่ามีเหตุช่วง 11.00 น. มีชาวบ้านถูกยิงลอยคออยู่กลางน้ำ แต่ตนไม่ทราบว่าเป็นลูกตน ตนมารู้ว่าเป็นลูกตนช่วง 13.00 น. ตอนนั้นได้แต่ภาวนาให้ลูกรอด ชาวบ้านก็พยายามช่วยค้นหาแต่ไม่พบ ทหารมาช่วยอยู่ 1 วัน มาลงเรือ 2 รอบ แล้วก็ไม่มาอีกเลย และวันที่เจอศพ ไม่พบเจ้าหน้าที่เลย
ล่าสุด วันนี้มีกองทัพเรือมาเยียวยา 5,000 บาท ส่วนตัวอยากให้คนที่กระทำลูกตนเดินทางมาขอขมา ตนมองว่าการกระทำเขาเกินกว่าเหตุ คดีไม่ใช่ร้ายแรง ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงทำรุนแรงเช่นนี้ ยืนยันว่าลูกไม่ได้ยุ่งกับยาเสพติด ตนยังมีคำถามคาใจว่า "ทำไมต้องยิงลูกตน แค่ลักลอบของหนีภาษีทำไมต้องยิง ต้องฆ่าลูกแม่" ตั้งแต่เกิดเรื่องไม่รู้ว่าลูกมาหาหรือไม่ แต่มีเมื่อคืนนี้หลังเจอศพลูกและส่งศพไปโรงพยาบาล ตนเองเปิดดูคลิปที่ชาวบ้านไลฟ์ค้นหาศพลูกชาย ปรากฎระหว่างดูได้กลิ่นเน่าโชยมา จึงคิดว่าลูกอาจจะมาหา
"เจ้าหน้าที่ฆ่าลูกแม่เหมือนหมา หมายังมี พ.ร.บ.คุ้มครอง แต่ลูกแม่ลูกคน" ตนยังรับไม่ได้ ทำเหมือนลูกตนเป็นโจร ตนขอให้คนที่กระทำลูกตนมาดูงานที่เขาทำ ทำให้ตนสูญเสียลูก ส่วนเรื่องผลชันสูตรแพทย์แจ้งว่าหากลูกตนถูกยิงบนบกคงไม่ตาย เพราะกระสุนเฉี่ยวเข้าที่แก้มซ้าย เข้าไปที่โพรงจมูก แต่กรณีนี้ลูกตนจมน้ำด้วย
