วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 2/2568 พร้อมด้วยนางอรนุช หล่อเพ็ญศรี รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมเพื่อพิจารณานโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ
.
การประชุมครั้งนี้ มีมติเห็นชอบร่างเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยภายใต้การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 หรือ NDC 3.0 โดยยกระดับการกำหนดเป้าหมายเปรียบเทียบกับกรณีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามปกติ ที่ไม่มีการดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก (Business as Usual: BAU) ไปเป็นการเปรียบเทียบกับระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริง (Absolute Emissions Reduction Target) ณ ปี ค.ศ. 2019 โดยตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจกที่ 109.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2e) ณ ปี พ.ศ.2578 (ค.ศ. 2035) ภายใต้สัดส่วนจากการดำเนินงานภายในประเทศ ร้อยละ 70 และที่ต้องขอรับสนับสนุนจากต่างประเทศ ร้อยละ 30 รวมถึงการบูรณาการเป้าหมายการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ดิน (LULUCF) 118 MtCO2e ดังนั้น ในปี 2035 ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิไม่เกิน 152 MtCO2e ซึ่งสอดคล้องตามเส้นทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อรักษาอุณภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
สำหรับด้านเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจก ที่ประชุมเห็นชอบให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการศึกษาและขับเคลื่อนให้เกิดโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) ของประเทศ พร้อมมอบหมายให้กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยประสานงานหลักในการบูรณาการการดำเนินงานและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบร่างองค์ประกอบคณะผู้แทนประเทศไทยในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP 30) ณ สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เพื่อเตรียมความพร้อมการเจรจาของประเทศในเวทีโลก รวมถึงเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (ASEAN Joint Statement on Climate Change to UNFCCC COP 30) โดยมอบหมายให้กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
ผลจากประชุมครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย รวมถึงเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจกให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ตลอดจนสอดรับกับทิศทางของประชาคมโลกในการรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
Advertisement