
กว่าที่ซีเกมส์จะกลายเป็นมหกรรมกีฬาที่คนไทยและเพื่อนบ้านเฝ้ารอในทุก 2 ปี วันนี้ทุกเรื่องราวที่เราเห็น ตั้งแต่พิธีเปิดสุดอลังการ มาสคอตสุดคิวท์ ไปจนถึงการชิงเหรียญทองที่ดุเดือด
ล้วนมีจุดเริ่มต้นจากความตั้งใจเล็ก ๆ ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อกว่า 60 ปีก่อน ว่าอยากจัด “เกมกีฬา” ของภูมิภาค เพื่อผูกมิตรและสร้างความเข้าใจกันหลังยุคสงคราม
การเดินทางกว่า 6 ทศวรรษของซีเกมส์ จากกีฬาแหลมทองเล็ก ๆ สู่เวทีอาเซียนที่มีทั้งกีฬาใหม่ กีฬาเก่า และกีฬาพื้นบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นประเด็นร้อนในวงการกีฬา
กำเนิด “กีฬาแหลมทอง”
หากย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2502 หรือช่วงที่ยังไม่มีคำว่าอาเซียน ประเทศไทย ลาว เมียนมา กัมพูชา เวียดนามใต้ กัมพูชา และมลายาชื่อเดิมของมาเลเซีย ชวนกันตั้งสหพันธ์กีฬาแหลมทองขึ้นมา เพื่อจัดการแข่งขันกีฬาระหว่างกันทุก 2 ปี เน้นสร้างความสัมพันธ์และมิตรภาพมากกว่าการชิงความเป็นหนึ่ง
การแข่งขันครั้งแรกเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 12–17 ธันวาคม พ.ศ. 2502 ใช้ชื่อว่า “กีฬาแหลมทอง” หรือ SEAP Games (เซียพ เกม) ซึ่งย่อมาจาก Southeast Asian Peninsular Games มีการแข่งขันเพียง 12 ชนิดกีฬา และนักกีฬาเพียง 527 คน จาก 7 ประเทศคือ ไทย มลายา หรือปัจจุบันมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ใต้ ลาว และพม่า แต่ความสำเร็จของครั้งนั้นก็เพียงพอที่จะวางรากฐานให้ประเพณีกีฬาระดับภูมิภาคนี้เดินหน้าต่อ
ช่วงเวลานั้น บรรยากาศการแข่งขันยังเรียบง่าย ไม่มีเทคโนโลยีถ่ายทอดสด ไม่มีโซเชียลมีเดีย นักกีฬาบางคนยังเดินทางมาด้วยรถหรือเรือ และเจ้าภาพอย่างไทยก็ต้องทำทุกอย่างด้วยงบจำกัด แต่ความสนุก ความดุเดือด และเสียงเชียร์ในสนามกลับสร้างพลังมหาศาล จนกีฬาแหลมทองกลายเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพมาช้านาน
จาก “กีฬาแหลมทอง” เป็น “ซีเกมส์”
เมื่อภูมิภาคเติบโตขึ้น ประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้น และการเมืองในบางประเทศเปลี่ยนผ่าน สหพันธ์จึงตัดสินใจขยายขอบเขตการแข่งขันให้ครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี พ.ศ. 2520 มีการเปลี่ยนชื่อเป็น สมาพันธ์กีฬาซีเกมส์ (SEAGF) พร้อมเปลี่ยนชื่อการแข่งขันเป็น “ซีเกมส์” อย่างเป็นทางการ
ตั้งแต่นั้น ซีเกมส์ไม่ใช่แค่เกมกีฬาเล็ก ๆ อีกต่อไป แต่เป็นเวทีที่ประเทศต่าง ๆ ใช้พิสูจน์ฝีมือ พัฒนากีฬาในประเทศ และสร้างโอกาสให้นักกีฬาเยาวชนได้ก้าวสู่เวทีใหญ่ เช่น โอลิมปิก หรือเอเชียนเกมส์
และจากวันนี้ถึงวันนี้มีชาติที่เข้าร่วม 11 ชาติประกอบด้วย ไทย กัมพูชา ลาว มาเลเซีย เมียนมา สิงคโปร์ เวียดนาม บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิบปินส์ และ ติมอร์เลสเตร์ โดย ติมอร์เลสเตเป็นชาติล่าสุดที่เข้าร่วมเมื่อปี 2546
ไทยเองก็เป็นหนึ่งในแกนนำสำคัญ ทั้งการส่งนักกีฬาเข้าร่วมครบทุกครั้ง การเป็นเจ้าภาพถึง 7 ครั้ง และการครองตำแหน่งเจ้าเหรียญทองรวมมากที่สุดในประวัติศาสตร์กว่า 2,400 เหรียญทอง
กีฬาพื้นบ้าน ปรากฏการณ์ที่เคย “ร้อนแรง” ของซีเกมส์
แม้ซีเกมส์จะตั้งใจเป็นเกมเพื่อมิตรภาพ แต่เมื่อเวลาผ่านไป การแข่งขันก็เข้มข้นขึ้น และเกิดธรรมเนียมไม่เป็นทางการ อย่างการบรรจุกีฬาพื้นบ้านของเจ้าภาพ เพื่อเพิ่มโอกาสคว้าเหรียญทอง
เราจึงเคยเห็นกีฬาที่ไม่ค่อยคุ้น เช่น กาบัดดี้, ปันจักสีลัต, ชินลง หรือแม้แต่วู้ดบอล ถูกบรรจุเป็นกีฬาแข่งขันตามที่เจ้าภาพต้องการ
ในสายตาคอกีฬา นี่คือสีสัน ในสายตานักวิเคราะห์ นี่คือกลยุทธ์ ในสายตาประเทศเพื่อนบ้านบางราย นี่คือ “ข้อครหา” ที่ยืดเยื้อมายาวนาน
จนกระทั่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สหพันธ์มนตรีซีเกมส์มีมติเลิกเน้นกีฬาพื้นบ้าน และกำหนดเกณฑ์ใหม่ให้เน้นกีฬาสากลตามมาตรฐานโอลิมปิก และเอเชียนเกมส์
ทำให้กีฬาพื้นบ้านจะเหลือเพียง 4 ชนิดในแต่ละซีเกมส์ โดยจะเริ่มกฎนี้ตั้งแต่ซีเกมส์ครั้งนี้ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ในซีเกมส์ครั้งที่ 33 นี่ถือเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์ซีเกมส์ยุคใหม่
จากสนามศุภฯ ปี 2502 สู่เจ้าภาพอีกครั้งในปี 2568
หนึ่งในความน่าสนใจคือ ประเทศไทยเป็น “ทั้งเจ้าภาพครั้งแรก” และ “เจ้าภาพครั้งล่าสุด” ของซีเกมส์ในรอบกว่า 60 ปี
ก่อนปี 2568 ไทยเคยจัดซีเกมส์ 6 ครั้ง รวมถึงปี 2550 ที่นครราชสีมา ซึ่งเป็นปีที่ไทยทำสถิติเก็บเหรียญทองได้มากที่สุดถึง 183 เหรียญ
แต่หลังจากนั้นไทยก็ห่างหายจากการเป็นเจ้าภาพไปนานถึง 18 ปี หรือเว้นว่างไปทั้งหมด 9 ครั้ง ก่อนที่จะได้หวนกลับมารับหน้าที่อีกครั้งในปี 2568 ซึ่งถือเป็นการจัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะกระจายการแข่งขันไปถึง 10 จังหวัดทั่วประเทศ และใช้ 3 จังหวัดหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และสงขลา
เดิมทีสงขลาจะเป็นเมืองกีฬาในภาคใต้ แต่เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2568 ทำให้หลายสนามเสียหาย และต้องย้ายการแข่งขันบางชนิดกีฬากลับสู่กรุงเทพฯ และชลบุรีแทน ชนิดที่เรียกว่าเป็นความท้าทายขนาดใหญ่ก่อนการแข่งขันจะเริ่มเพียงไม่กี่เดือน
ซีเกมส์ 2025 ยุคใหม่ของเกมอาเซียน
ปี 2568 ซีเกมส์ครั้งที่ 33 จัดขึ้นภายใต้คำขวัญ “ก้าวไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง – Ever Forward” ทั้งในแง่การจัดการแข่งขัน กีฬาใหม่ที่ทันสมัย และแนวคิดที่อยากให้ซีเกมส์เป็นเวทีที่มาตรฐานใกล้เคียงกับเอเชียนเกมส์มากขึ้น
ซีเกมส์ครั้งนี้ประกอบด้วยกีฬาถึง 54 ชนิด มีเหรียญทองมากถึง 574 เหรียญ ไทยส่งนักกีฬา 1,531 คน พร้อมเป้าหมายทวงคืนตำแหน่งเจ้าเหรียญทองให้เหนือเวียดนาม ซึ่งเคยทำสถิติไว้ 205 เหรียญทองเมื่อปี 2021
มาสคอต “เดอะสาน” ถูกออกแบบให้ทันสมัย แต่ผสานลายสานและเอกลักษณ์ไทย เพื่อสื่อถึงการผูกโยงคนทั้งภูมิภาคเข้าหากัน เหมือนลวดลายที่ประสานกันเป็นผืนเดียว
และนอกจากสนามหลักอย่างราชมังคลากีฬาสถาน สนามศุภชลาศัย และอินดอร์สเตเดียม ยังมีจังหวัดอื่น ๆ ที่รับหน้าที่ร่วม เช่น นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ ระยอง เชียงใหม่ และชลบุรีที่รับบทสำคัญในกีฬาเรือใบทางน้ำ
นี่คือซีเกมส์ที่กระจายความร่วมมือ กระจายเศรษฐกิจ และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใกล้ชิดเกมกีฬามากที่สุดครั้งหนึ่ง
ปี 2568 ไทยไม่ได้เป็นแค่เจ้าภาพ
เสน่ห์ของซีเกมส์ ที่ไม่เคยหายไป แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนจากสนามดินสู่สนามไฮเทค จากกีฬาท้องถิ่นเรียบง่าย สู่กีฬาทันสมัยอย่างอีสปอร์ต แต่แก่นของซีเกมส์ยังคงเดิมตั้งแต่ปี 2502 คือการเป็น “เกมกีฬาเพื่อมิตรภาพในอาเซียน”
ไม่ว่าจะมีดราม่าเรื่องเหรียญทอง ความพร้อมของเจ้าภาพ หรือกีฬาพื้นบ้านที่ต้องถกเถียงกันทุกครั้ง แต่ทุกครั้งที่เสียงชาติไทยดังขึ้นบนโพเดียม ก็ทำให้คนไทยร่วมยินดี และนักกีฬารุ่นใหม่ได้แรงบันดาลใจกลับบ้านเสมอ
การย้อนรอยซีเกมส์จึงไม่ใช่เพียงการมองกลับไปที่ผลการแข่งขันหรือสถิติเหรียญทอง แต่คือการมองเห็นการเติบโตของทั้งภูมิภาค การพัฒนากีฬาของแต่ละประเทศ และบทพิสูจน์ว่าชาติอาเซียนยังร่วมกันผลักดันเวทีนี้ให้ก้าวทันโลก
Advertisement