
นายอมรชัย ศิริไสย์ นายกสมาคมเก็บกู้ทุ่นระเบิดพลเรือนไทย ให้สัมภาษณ์กับอมรินทร์ทีวีถึงประเด็นที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด บริเวณห้วยตามะเรีย จนต้องสูญเสียขาเป็นขาที่ 7 โดยอันดับแรกต้องขอแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียขาและผู้บาดเจ็บ ซึ่ง นายอมรชัย อนุมานว่าทุ่นระเบิดที่เหยียบน่าจะเป็นทุ่นระเบิดใหม่ เพราะบริเวณที่โดนเคยเกิดขึ้นครั้งนึงเมื่อตุลาคม 2551 ทำให้ทหารขาขาด 1 นาย ตอนนั้นที่ตนเข้าไปตรวจสอบก็พบว่าเป็นระเบิด PMN 2 ทางกัมพูชาในหน่วยตามแนวชายแดนมีไว้ครอบครองเยอะมากและใช้มาตลอด ตั้งพื้นที่ช่องบก ตาควายและโดนตวล
บวกกับวันนี้ (10 พ.ย. 2568) ที่ทางจ้าหน้าที่ มว.ปล.ที่ 2 ได้ตรวจพบทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวน 2 ทุ่น บริเวณพื้นที่ปราสาทโดนตวล ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก จึงค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นระเบิดเซตเดียวกันและเป็นระเบิดใหม่
นั่นแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาไม่ได้ยุตติตามข้อตกลงใดใด มีความประสงค์จะรบกับทหารไทยด้วยการใช้ทุ่นระเบิดและเจตนาที่จะวางทุ่นระเบิดใหม่ เนื่องจากเขารู้ดีอยู่แล้วว่าบริเวณที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ของประเทศไทย มีทหารไทยก็ลาดตระเวนอยู่ตลอดเป็นประจำ ไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์เมื่อปี 2551
สภาพภูมิประเทศตรงห้วยตามาเรีย เป็นลักษณะของทางน้ำที่ไหลมาจากเขาพระวิหารและภูมะเขือ ปกติแล้วภูมิประเทศของไทยจะอยู่สูงกว่ากัมพูชา แต่จุดนี้จะอยู่ต่ำกว่าและไม่มีสิ่งปลูกสร้าง จึงทำให้ทหารเขมรแอบลักลอบเข้ามาทำอะไรไม่ดีหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการวางทุ่นระเบิดแบบนี้
ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้ผิดแปลกไปจากนิสัยของฝั่งกัมพูชาเลย เห็นได้ชัดว่าเวลาเจรจาตอนลงนามจะพูดดีมาก แต่สุดท้ายตอนนี้ประเทศไทยเหมือนกำลังโดนหลอกจากการเป็นสุภาพบุรุษมากเกินไป เพราะถ้าพูดถึงกัมพูชา ต้องยอมรับว่าเขามีหลายฝ่าย ส่วนที่มาเจรจาเพื่อเซ็นสัญญาก็ส่วนหนึ่ง แต่ขณะเดียวกัน ส่วนที่อยู่แนวรบก็ส่วนหนึ่ง พวกนั้นจะหลับตาข้างนึง ทำเป็นเหมือนไม่รู้ไม่เห็นกับการเซ็นสัญญาเจรจา หรือเผลอๆ ก็อาจจะได้รับคำสั่งให้ทำเช่นนั้นไปเลย ทั้งการวางทุ่นระเบิดเพิ่มและการยิงยั่วยุ โดยที่ไม่สนเนื้อหาที่ระบุอยู่ในสัญญา
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเขาทำแบบนี้มาตลอด ดังนั้นเราไม่ควรชะล่าใจ ต่อไปนี้ให้นึกไว้เสมอว่า สิ่งใดที่กัมพูชาเซ็นสัญญาว่าจะร่วมทำกับเรา สิ่งนั้นไม่มีความหมายอะไรเลยและอย่าไปเชื่อ ไม่อย่างนั้นจะเกิดการสูญเสียเช่นนี้อีก
แล้ววันนี้มันก็ชัดเจนแล้วว่ากัมพูชาไม่ให้เกียรติไทยและใช้คำว่าหยามศักดิ์ศรีไทยก็ว่าได้ ด้วยการผิดสัญญาเรื่องที่ว่าจะร่วมมือกันเก็บกู้ระเบิดสังหารบุคคล เพราะนอกจากจะไม่ร่วมเก็บกู้แล้ว ยังกลายเป็นว่ามาวางทุ่นระเบิดเพิ่มอีก
นอกจากนี้ นายอมรชัย ยังเสนอไปยังรัฐบาลและกองทัพ ว่าหลังจากนี้ควรจะสร้างสันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง แสดงบทบาทให้กัมพูชารับรู้ว่าเราจริงจังเด็ดขาด อาจจะไม่ได้หมายถึงการยิงต่อสู้เสียทีเดียว แต่ถ้าถามถึงเรื่องการตอบโต้ของไทยในช่วงเวลานี้นั้น นายอมรชัย บอกว่าสามารถตอบโต้ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้สัดส่วนที่พอดีกับสถานการณ์ เชื่อว่าทางกองทัพน่าจะมีวิธีแบบแผนอยู่แล้ว เช่น ปิดด่านต่อไป เพราะถ้ามัวแต่สร้างสันติภาพผ่านการเจรจาแล้วไปเซ็นสัญญาและยืนยิ้มสยามอยู่แบบที่เห็น ยังไงก็ไม่ได้ผล ปิดประตูการเจรจาไปได้เลย
ส่วนการปล่อยตัวเชลยศึกกัมพูชาทั้ง 18 คนนั้น หลายคนอาจจะมองว่านี่เป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบของเรา แต่จริงๆ แล้วรัฐบาลกัมพูชาไม่ได้สนใจเชลยทั้ง 18 คนเลยด้วยซ้ำ ไม่แม้แต่จะห่วงชีวิตของคนพวกนี้ เพราะเขาไม่ได้ต้องการคืนกลับไป เชลยศึกก็คงไม่อยากกลับ เผลอๆหากไทยปล่อยกลับไป ทั้ง 18 คนนี้อาจโดนฆ่าตายที่กัมพูชาหรือไม่ก็ไม่ได้รับสวัสดิภาพดีเท่าอยู่ไทยก็ได้ แต่ที่ประเทศไทยยังเก็บไว้ เพียงเพราะเราเป็นประเทศที่มีอารยะและเป็นประเทศที่มีความศรีวิไลซ์สูง
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้ประเทศมหาอำนาจ มองกัมพูชายังไง? เจ้าตัวบอกว่าจริงๆแล้วประเทศมหาอำนาจจะมีแหล่งข่าวเบื้องลึกที่อยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว จึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้นในเมื่อมีเหตุการณ์นี้ เขาก็คงจะเข้าใจว่าไทยมีความจำเป็นที่จะตอบโต้หรือกระทำบางอย่างเพื่อบูรณภาพดินแดนของไทย เพราะที่ผ่านมาประเทศมหาอำนาจก็ช่วยเป็นตัวกลางอย่างเต็มที่ แต่กัมพูชากลับไม่ทำตามสัญญา แต่ขณะเดียวกันไทยก็ไม่ควรจะไปเกรงกลัวอะไรกับประเทศมหาอำนาจมาก อย่าให้เขามาควบคุม เพราะอย่างที่รู้กันดีว่า เขามีบทบาทหลายหน้า ท่ามกลางการทำตัวเป็นกลาง แต่ลึกๆเขาก็หวังอะไรบางอย่างจากทั้ง 2 ประเทศเหมือนกัน เราควรทำยึดมั่นที่จะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติต่อไป
Advertisement