ยิ่งหลอนยิ่งดี! วิจัยชี้ ‘หนังผี’ ช่วยเผาแคลลอรี-เพิ่มความสุข

ไขข้อข้องใจ ทำไมเราถึงชอบดูหนังผี นักวิจัยชี้ ยิ่งหลอนยิ่งเพิ่มความสุข แถมยังทำให้สุขภาพทั้งกายและใจดีขึ้นจริง

กลัวไปอีกหลายวัน หลอนไปอีกหลายปี แต่ทำไมคนเรายังชอบดูหนังผี ทั้งที่มันทั้งน่ายี้ น่ากลัว หลอนประสาท ทำขวัญผวา มีภาพติดตาไปอีกนานสองนาน สำหรับคอหนังผีหรือหนังสยองขวัญ ก็มีทั้งประเภทที่กลัวและไม่ได้กลัว แต่ทำไมพวกเขายังติดอกติดใจ ดูแล้วดูเล่า และสรรหาหนังผีที่เพิ่มระดับความน่ากลัวขึ้นไปทุกที เรามีคำตอบที่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และแถมข้อดีที่มีไม่น้อย ที่ไม่ใช่แค่ให้ความบันเทิง แต่ยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายและสุขภาพใจให้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย

1. หนังผีทำให้ตื่นเต้นเหมือนเล่นรถไฟเหาะตีลังกา

เหตุผลแรกคือความตื่นเต้นที่เหมือนโด๊ปยาอะดรีนาลีน การดูหนังสยองขวัญจะทำให้ร่างกายหลั่งอะดรีนาลีนออกมา ทำให้หัวใจเต้นแรงและเลือดสูบฉีด แม้ว่าเนื้อหาจะน่ากลัวแค่ไหน แต่สมองก็แอบฟินกับความรู้สึกนี้อยู่เงียบ ๆ

2. หนังผีช่วยส่องด้านมืดในใจคนแบบปลอดภัย

หนังสยองขวัญช่วยให้เราได้สำรวจความมืดมิดในจิตใจมนุษย์ ได้เห็นตัวละครทำในสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นในชีวิตจริง นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับด้านมืดในจิตใจคน และช่วยให้รู้สึกพึงพอใจ เหมือนได้หลีกหนีจากโลกแห่งความจริง

3. หนังผีช่วยฝึกสมองให้รับมือกับสถานการณ์วิกฤต

งานวิจัยชี้ว่า การดูหนังผีหรือหนังวันสิ้นโลกเป็นประจำเหมือนเป็นการฝึกซ้อมจิตใจ ทำให้เราพร้อมรับมือกับเรื่องแย่ ๆ ในชีวิตจริงได้ดีขึ้น เพราะหนังเหล่านี้พาเราไปเจอสถานการณ์ตึงเครียดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้แฟนหนังเหล่านี้สร้างความรู้สึกควบคุมและปรับตัวได้ดีกว่าคนทั่วไป

4. หนังผีสร้างสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

สร้างสัมพันธ์กับคนรัก การดูหนังผีกับแฟนช่วยให้หัวใจเราเต้นแรงพร้อมๆ กัน การได้รับสัมผัสอบอุ่นหลังผ่านความลุ้นระทึกมาด้วยกัน ก็ยิ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้นและรักกันมากขึ้นไปอีก

กระชับความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อน การดูหนังผีเป็นกลุ่มช่วยให้เราผูกพันกันมากขึ้น เพราะเวลาที่อยู่ในสถานการณ์น่ากลัว ร่างกายจะหลั่งสารออกซิโทซินออกมา ช่วยให้รู้สึกปลอดภัยและไว้ใจผู้อื่น โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ทำให้เราและเพื่อนสนิทรู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น

5. หนังผีช่วยเผาผลาญแคลอรี

นักวิจัยกล่าวว่าช่วงเวลาที่ ตกใจกลัวสุดขีด ในหนังนี่แหละที่ทำให้เราเผาผลาญแคลอรี่ได้มากที่สุด ดร. ริชาร์ด แมคเคนซี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเผาผลาญขอเซลล์และสรีรวิทยา อธิบายว่า หนังผี 10 เรื่องที่ทดลอง ช่วยทำให้อัตราการเต้นของหัวใจพุ่งปรี๊ด เมื่อหัวใจเต้นเร็วขึ้น เลือดจะสูบฉีดทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายหลั่งอะดรีนาลีน ออกมาอย่างกะทันหัน ซึ่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนตัวนี้แหละที่ไปช่วยลดความอยากอาหาร เพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน และสุดท้ายก็คือช่วยให้ร่างกายเราเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้นนั่นเอง

จากการวิจัยพบว่า 10 อันดับหนังสยองขวัญที่เผาผลาญแคลอรีได้ดีที่สุด ได้แก่

1. The Shining เผาผลาญ 184 แคลอรี

2. Jaws เผาผลาญ 161 แคลอรี

3. The Exorcist เผาผลาญ 158 แคลอรี

4. Alien เผาผลาญ 152 แคลอรี

5. Saw เผาผลาญ 133 แคลอรี

6. A Nightmare on Elm Street เผาผลาญ 118 แคลอรี

7. Paranormal Activity เผาผลาญ 111 แคลอรี

8. The Blair Witch Project เผาผลาญ 105 แคลอรี

9. The Texas Chain Saw Massacre เผาผลาญ 107 แคลอรี

10. [Rec] เผาผลาญ 101 แคลอรี

ใครที่อยากผอมแต่ไม่อยากออกกำลังกาย ลองเปลี่ยนมาดูหนังสยองขวัญบ่อย ๆ โดยไม่กินขนมหรือน้ำอัดลมไปด้วยดู เผลอ ๆ อาจจะหุ่นดีขึ้นไม่รู้ตัว

ลักษณะเด่นของคนชอบดูหนังผี

คนที่ชอบดูหนังผีมักจะเป็นคนที่มี ความต้องการแสวงหาความตื่นเต้น สูง หรือมีความคิดสร้างสรรค์และเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ง่ายกว่าคนอื่น นอกจากนี้ งานวิจัยยังบอกอีกว่าคนที่มีความเห็นอกเห็นใจน้อยกว่าก็อาจจะดูหนังผีสนุกกว่า เพราะจะไม่รู้สึกร่วมไปกับความทุกข์ของตัวละครมากนัก

เคล็ดลับดูหนังผีให้สนุก

การจะดูหนังผีให้สนุกนั้น เราต้องมี "เกราะป้องกัน" ในใจ 3 อย่างด้วยกัน คือ

1. ต้องเชื่อว่าตัวเองปลอดภัย ไม่ว่าในหนังจะน่ากลัวแค่ไหน ต้องรู้ว่านั่นเป็นแค่การแสดง

2. แยกแยะความจริงกับหนังได้ เตือนตัวเองเสมอว่านักแสดงคือคน ไม่ใช่ผีจริง

3. รู้สึกควบคุมสถานการณ์ได้ อย่างเวลาไปบ้านผีสิง ต้องมั่นใจว่าเราสามารถเอาตัวรอดได้

ถ้าไม่มีเกราะป้องกันเหล่านี้ เราอาจจะดูหนังผีได้ไม่สนุกเท่าที่ควร และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่บางคนไม่ชอบดูหนังผีเลยก็ได้

สรุปแล้ว หนังผีไม่ได้มีแค่ความน่ากลัว หวาดหวั่นสั่นประสาท แต่ยังมอบความตื่นเต้น ประสบการณ์ใหม่ ๆ ช่วยฝึกให้จิตใจแข็งแกร่ง และมีผลต่อการหลังฮอร์โมนความสุขของเราขึ้นโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย คืนนี้ลองชวนคนรัก เพื่อน หรือครอบครัวมาดูหนังผีกันสักเรื่อง เพื่อเสริมสร้างสายสัมพันธ์และแบ่งปันประสบการณ์ขนหัวลุกไปด้วยกันดีกว่า

ที่มา: The Guardian

Harvard Business Review

RED Magazine