(14 มิ.ย. 2568) อดีตทหารพราน ค่ายปักธงชัย ให้สัมภาษณ์ถึงการสำรวจวาดแผนที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ในอดีตพื้นที่ช่องบกมีการต่อสู้กันมาตลอดไม่ว่าจะเป็นจากกองทัพเวียดนาม หรือกัมพูชา โดยตอนนั้นมีการวางทุ่นระเบิดในพื้นที่ภูเขา ซึ่งตนเองและนักกู้ระเบิดได้ไปทำการเก็บกู้ และมีการตรวจสอบในพื้นที่ภูเขาทั้งหมดแล้ว
อย่างไรก็ตามกัมพูชาได้กล่าวอ้างว่าพื้นที่ช่องบกเป็นของกัมพูชา แต่เราคนยืนยันว่าไม่ใช่ เพราะมีการยึดตามเส้นสันปันน้ำ นอกจากนี้ตนได้ร่วมเดินสำรวจเพื่อวาดแผนที่ และย้ำว่าพื้นที่ของบกเป็นของไทยอย่างแน่นอน ทั้งนี้ที่ผ่านมาตนมองว่ากัมพูชาอยากได้ดินแดนของไทย รวมถึงทรัพยากรในพื้นที่ จึงพยายามรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ
"ทั้งนี้ในช่วงที่ตนเข้าไปสำรวจพื้นเพื่อวาดแผนที่โดยวิธีเดินเท้าโดยตรง ช่วงปี 2536 โดยเป็นกลุ่มนายพรานประมาณ 5-6 คน ซึ่งใช้ระยะเวลาสำรวจ 1 ปี ทั้งนี้สิ่งที่เราได้สิ่งที่เราเห็นในช่องบก นอกจากจะเป็นทุ่นระเบิด บังเกอร์ที่ถูกทิ้งไว้ ยังพบว่าในสมัยนั้นฝั่งกัมพูชา ไม่ได้ขยับขึ้นมาเหมือนในปัจจุบัน โดยในปีนั้นฝั่งกัมพูชาได้อยู่บริเวณศาลาตรีมุขมีลักษณะเป็นฐานไม่ใช่เป็นบ้านเรือน โดยมีกำลังประมาณ 10 คน และในขณะนั้นพวกตนยังได้ร่วมเดินกับทางกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 6 (ร.6 พัน2 ) เพื่อเจาะเส้นทางเลาะตะเข็บชายแดนให้กับทางเจ้าหน้าที่ไปจึงถึงช่องอานม้า ต.โซง อ.น้ำยืน
อดีตทหารพราน ยังระบุด้วยว่า ประมาณ 2-3 วันก่อนเกิดเหตุปะทะวันที่ 28 พ.ค. 2568 ตนได้เดินเข้าไปหาของป่า ปรากฎว่าตนถูกจับกุมพร้อมลูกชาย โดยทหารฝั่งตรงข้ามที่นำกำลังมาประมาณ 30 นาย ที่ตรงยอดลำห้วยบอน ซึ่งเป็นพื้นที่ของไทย ในช่วงประมาณ 6.00 น. โดยเขาได้บอกว่าห้ามมาเดินเพ่นพ่านแถวนี้ ทั้งยังได้มีการนำตัวพวกตนไปพูดคุยในจุดฐานใหญ่กัมพูชา ถูกสั่งให้บอกคนไทยและชาวบ้านว่าห้ามมาเดินเพ่นพ่านแถวนี้อีกด้วย
ทั้งนี้จากการสังเกตพบว่า ขณะนั้นมีการขุดคูเลต ที่บริเวณแนวต้นพญาสัตบรรณ หรือ ต้นตีนเป็ด จนกระทั่งถูกปล่อยตัวมาประมาณ 12.00 น. ของวันเดียวกัน หลังจากที่ตนถูกปล่อยตัวมาก็ได้สื่อสารกับเจ้าหน้าที่ทางการ เพื่อให้เข้าสำรวจว่าฝั่งตรงข้ามกำลังทำอะไรอยู่ ผลสุดท้ายก็ตามที่ปรากฎข่าวคือฝั่งตรงข้ามขุดคูเลต
Advertisement