โรซา พาร์คส์ (Rosa Parks) บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญและจุดเปลี่ยนสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองในสหรัฐอเมริกา
โรซา หลุยส์ แมคคอลีย์ (Rosa Louise McCauley) เกิดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1913 ในเมืองทัสกีจี รัฐแอละแบมา ในช่วงเวลาที่การแบ่งแยกสีผิวยังคงฝังรากลึกในสังคมอเมริกัน เธอเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่คนผิวสีถูกกดขี่และเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน
การศึกษาในวัยเด็กของโรซาเป็นไปอย่างยากลำบาก เธอเข้าเรียนในโรงเรียนสำหรับเด็กผิวสี ซึ่งมักมีทรัพยากรน้อยกว่าโรงเรียนสำหรับเด็กผิวขาว อย่างไรก็ตามแม่ของเธอซึ่งเป็นครูได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาและปลูกฝังความเชื่อมั่นในตนเองให้กับเธอ ต่อมาเธอได้เข้าเรียนที่ Alabama State Teachers College for Negroes
โรซาแต่งงานกับ เรย์มอนด์ พาร์คส์ (Raymond Parks) ในปี 1932 ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของคนผิวดำ ทั้งสองมีบทบาทในการทำงานร่วมกับองค์กร NAACP (National Association for the Advancement of Colored People)
จุดเริ่มต้นบนรถโดยสาร
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1955 ที่เมืองมอนต์โกเมอรี รัฐแอละแบมา โรซา พาร์คส์ ได้กลายเป็นบุคคลที่ทั่วโลกรู้จัก เมื่อเธอปฏิเสธที่จะลุกจากที่นั่งบนรถโดยสารประจำทางให้กับชายผิวขาว ซึ่งเป็นสิ่งที่กฎหมายท้องถิ่นกำหนดไว้ในขณะนั้น เธอถูกจับกุมในข้อหาละเมิดระเบียบเกี่ยวกับการแบ่งแยกผู้โดยสารตามเชื้อชาติ
การจับกุมของเธอกลายเป็นชนวนสำคัญที่จุดกระแส การคว่ำบาตรรถโดยสารในมอนต์โกเมอรี (Montgomery Bus Boycott) ซึ่งกินเวลานานกว่า 381 วัน โดยผู้นำเยาวชนในขณะนั้นคือ ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ การประท้วงครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกของการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิพลเมืองในระดับประเทศ
หลังเหตุการณ์ในปี 1955 เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและการต่อสู้โดยสันติวิธี เพื่อความยุติธรรมทางเชื้อชาติ เธอยังคงทำงานเพื่อสิทธิพลเมืองตลอดชีวิต ทั้งในฐานะนักเคลื่อนไหวและในฐานะผู้สนับสนุนเยาวชนให้ลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงสังคม
รางวัลและเหรียญเกียรติยศ
ตลอดชีวิตของโรซา พาร์คส์ ได้รับการยกย่องและเชิดชูมากมายในฐานะวีรสตรีแห่งการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม เธอได้รับเหรียญอิสริยาภรณ์ประธานาธิบดีแห่งอิสรภาพ (Presidential Medal of Freedom) ในปี ค.ศ. 1996 และเหรียญทองรัฐสภา (Congressional Gold Medal) ในปี ค.ศ. 1999
โรซา พาร์คส์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2005 ในวัย 92 ปี แต่เรื่องราวชีวิตและการอุทิศตนของเธอยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก การกระทำอันกล้าหาญเพียงครั้งเดียวบนรถโดยสารประจำทางได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์และเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านความอยุติธรรมและการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนสำหรับทุกคน
Advertisement