สาวอ้างถูกฝังชิปในร่างกาย ดูพฤติกรรม และควบคุมผ่านดาวเทียม ได้รับความเจ็บปวด วอนหน่วยงานช่วยเหลือ นำเอาชิปดังกล่าวออกจากตัวและตาทั้งสองข้าง
วันนี้ที่ ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก นางพิงค์ นามสมมุติ อายุ 48 ปี พร้อมครอบครัวเดินทางมาขอความช่วยเหลือจากศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเนินมะปราง หลังจากต้องทนทุกข์ทรมานร่างกายและจิตใจ มีอาการเจ็บป่วยไม่ทราบสาเหตุ และแพทย์ที่โรงพยาบาลหาสาเหตุไม่ได้ โดยเธอเชื่อว่า เธอถูกลักลอบฝังชิปขนาดจิ๋วในตาทั้งสองข้างเพื่อเฝ้าดูพฤติกรรมและในร่างกายเพื่อควบคุมและส่งเสียงเข้ามาในสมองของเธอ
เบื้องต้น นายครรชิต จูจันทร์ ปลัดอำเภอเนินมะปรางได้รับเรื่องราวร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากเธอและเตรียมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือตามความต้องการของเธอต่อไป
นางพิงค์ บอกเล่าเรื่องราวให้ผู้สื่อข่าวทราบว่า ก่อนที่จะกลับมาอยู่บ้าน เธอเคยไปทำงานอยู่ที่พัทยาตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 เรื่องราวความผิดปกตินี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 เธอเชื่อว่ามีชาวต่างประเทศและคนไทยกลุ่มหนึ่งละเมิดสิทธิ เอาตัวรับสัญญาณหรือชิปอิเล็กทรอนิคขนาดจิ๋วมาใส่ในตัวเธอ
เธอเชื่อว่าพวกเขาส่งสัญญาณจากดาวเทียมยิงส่งสัญญาณมาที่ตัวเธอ จึงอยากให้ช่วยเอาสัญญาณตัวนี้ออกจากตัวเธอ เพราะชิปจิ๋วนี้อยู่กับเธอมา 12 ปี แล้ว เธออยากมีอิสระ มีเสรีภาพ ไม่อยากให้มีคนมาควบคุมตัวเธอตลอด 24 ชั่วโมง เพราะรู้สึกได้ว่ามีการเช็คพฤติกรรมของตัวเธอตลอดเวลาและยังทำร้ายเธอให้รู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายด้วย ภาษาอังกฤษ และมี ภาษาไทยเพียงสองคำ คือ ปัญญาอ่อนและติ๊งต๊อง
เธอมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเธอ เป็นการละเมิดสิทธิโดยที่เธอไม่ยินยอม ซึ่งเธอไม่รู้ว่าใครในพัทยาเป็นคนที่ทำเธอ จึงอยากให้หน่วยงานของรัฐ มูลนิธิปวีณาหงษ์สกุล หรือเพจสายไหมต้องรอด เข้ามาช่วยเหลือหน่อย เราะตอนนี้รู้สึกเหมือนจะเป็นโรคไบโพล่าแล้ว เพราะตอนนี้เธอมีลูกอายุ 5 ขวบ กำลังเข้าเรียนชั้นอนุบาล และถ้าเกิดว่า มีการส่งสัญญาณคำว่า hospital หรือโรงพยาบาลขึ้นมาก็จะทำให้เธอเจ็บปวดร่างกาย ซึ่งหากลูกมากวน เธอก็อาจจะใช้อารมณ์รุนแรงกับลูกได้ สามีก็เครียดแต่ก็ไม่สามารถช่วยทำอะไรให้เธอได้
ช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอเคยขอความช่วยเหลือที่โรงพยาบาลอำเภอเนินมะปรางมาแล้ว พร้อมบอกกับเธอว่า ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ พร้อมทั้งแนะนำให้ติดต่อหน่วยงานของรัฐอื่นๆเข้ามาช่วยเหลือเธอ และตอนที่เธออยู่ที่เมืองพัทยา เธอเคยไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้แนะนำให้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐ จนล่าสุดในตอนนี้เธอทนไม่ไหวแล้ว จึงขอความช่วยเหลือหน่วยงานที่มีความพร้อมในเรื่องอุปกรณ์เครื่องมือ ได้ช่วยตรวจและรักษา นำเอาตัวรับสัญญาณหรือชิปอิเล็กทรอนิคขนาดจิ๋ว ออกจากตัวของเธอเพื่อให้ได้กลับมาใช้ชีวิตความเป็นอยู่ได้ตามปกติต่อไป
ด้านพ่อแม่สามีของนางพิงค์ บอกกับผู้สื่อข่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า ทั้งสองคนไม่เคยได้ยินเสียงหรือสัญญาณดังออกมาจากตัวของนางพิงค์ เพราะอยู่บ้านแยกกันคนละหลัง แต่ทุกครั้งที่นางพิงค์มีอาการเจ็บปวด ก็จะนำพาตัวไปที่โรงพยาาลเนินมะปราง และแพทย์ได้ตรวจเช็คร่างกายให้แล้ว ได้แจ้งว่าไม่พบสิ่งของผิดปกติในร่างกายแต่อย่างไร
Advertisement