
วันนี้ (17 ธันวาคม 2568) เวลา 12.30น. ที่พรรคภูมิใจไทย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีตสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมในการเปิดตัวผู้สมัครสส.กทม.ของพรรคภูมิใจไทย ว่า วันเลือกตั้งคือวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ตนเข้าใจว่าทุกพรรค รวมถึงพรรคภูมิใจไทยก็เตรียมความพร้อม สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ที่สำคัญมากสำหรับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งหลายคนมองเข้ามา หากดูประวัติ ไม่เคยมีสส.พรรคภูมิใจไทยในพื้นที่กรุงมหานครมาก่อน ซึ่งหากมีก็จะเป็นครั้งแรก และตนก็ยอมรับว่า งานครั้งนี้เป็นงานหิน แต่ตนไม่ขอพูดว่าพร้อมหรือมั่นใจมากแค่ไหน แต่ตนจะบอกว่าตนมาพร้อมกับความตั้งใจ ซึ่งทุกคนก็เห็นว่าในการทำงานที่ผ่านมาพวกเราสู้ไม่ถอยและสู้สุดซอย วันนี้ตนก็มีผู้สนับสนุนดี ไม่ได้ทำอยู่คนเดียว ก็ช่วยเหลือกันทั้งพรรค รวมถึงแม่ทัพหญิง “นางศุภมาศ อิสรภักดี” ซึ่งใครเป็นสส.กรุงเทพมหานครมาก่อนตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทย และทำงานมีประสบการณ์เป็นรัฐมนตรีมา ตนก็หวังว่าเที่ยวนี้ จะได้นำเอาประสบการณ์และทีมงานที่ตนทำงานด้วยกันมาตั้งแต่พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งตนมีความเชื่อมั่นในบุคคลเหล่านี้และจะทำให้ดีที่สุด
เมื่อถามว่ากดดันหรือไม่ที่บอกว่าพรรคภูมิใจไทยไม่เคยอยู่ในกรุงเทพเลย อยู่แต่ ปริมณฑลและต่างจังหวัดมาโดยตลอด นายเอกนัฏ ระบุว่า เอาจริงๆ ก็เป็นสไตล์ของตนอยู่แล้ว ในชีวิตไม่เคยเจอโจทย์ที่ง่ายเลย เมื่อวานก็เพิ่งชนะคดีมากรณีที่โรงงานเหล็กซินเคอหยวน ฟ้องตน 3000 กว่าล้านบาท ซึ่งทั้งชีวิตตนก็อยู่กับคดีและการต่อสู้ไม่เคยเจอโจทย์ง่ายนี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมภูมิใจไทยถึงบอกว่า หากมีกรุงเทพมหานคร ก็ลองให้“รัฐมนตรีขิง”มารับผิดชอบดู แต่เราทุกคนพร้อมสู้ไม่บอกว่าพร้อมขนาดไหนถือเป็นโจทย์ที่ทุกคนต้องเผชิญและตนก็มั่นใจว่าผู้สมัครของเราในวันนี้ยังอยู่ในกระบวนการ ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่มีคนเข้ามา ถึงแม้ภูมิใจไทยไม่เคยมีสส.กรุงเทพฯ แต่เที่ยวนี้ ก็มีคนเข้ามาสมัครมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ ทุกเขตล้นหมดมีมากกว่าหนึ่งคนหมด ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของตนและนางศุภมาส ที่จะช่วยพิจารณาหาคนที่ดีที่สุด และจากการพูดคุยก็เห็นว่าทุกคนมีความพร้อมสู้ไปด้วยกัน
และเมื่อถามย้ำว่าจะสามารถเจาะพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่เดิมของพรรคประชาชนทั้งหมดได้หรือไม่ นายเอกนัฏ ระบุว่า วันนี้ในการเลือกตั้ง ใครจะไปพูดได้ว่า ในอนาคตอะไรจะเกิดขึ้น พูดได้อย่างเดียวว่าในปัจจุบันนี้เราก็ต้องสู้อย่างเต็มที่ และใช้ความพยายามมาที่สุด โจทย์ยิ่งยากเท่าไหร่ เราก็ต้องยิ่งทำงานให้หนัก เวลาก็ไม่ได้มาก ตนก็เพิ่งมาเป็นน้องใหม่ของพรรคภูมิใจไทย แต่มาด้วยความตั้งใจเต็มร้อย ตนไม่อยากพูดว่าเรามีความมั่นใจ เราจะต้องทำนู่นนี่ให้ได้ แต่เราจะทำโดยพรรคภูมิใจไทยก็มีสโลแกนชัดเจน ก่อนหน้านี้ คือ “พูดแล้วทำ” มาวันนี้ คือ “พูดแล้วทำพลัส” นั่นหมายความจะทำมากกว่าที่พูดอีก ตอนที่ตนเข้ามาก็ได้รับการสื่อสารมาว่า อย่าไปพูดอะไรที่เราทำไม่ได้ ตนก็จะไม่พูดอะไรที่ทำไม่ได้ และตนจะทำให้เต็มที่
เมื่อถามว่ากรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่ต้องใช้กระแสจะมีการขับเคลื่อนเรื่องนี้ให้แตกต่างจากจังหวัดอื่นๆ อย่างไร นายเอกนัฏตอบว่า ตนคิดว่าสิ่งที่แตกต่างจากที่เคนเป็นมา สำหรับพรรคภูมิใจไทย โดยตนขอพูดตรงๆ ว่า บางทีคนก็มองว่าเป็นศูนย์รวมของบ้านใหญ่ แต่มาวันนี้ตนว่าพรรคภูมิใจไทยไม่เหมือนเดิม เพราะในเที่ยวนี้เราก็เห็นว่ามีการรวมตัวกันของมืออาชีพที่มาจากนอกวงการการเมือง ซึ่งตนเพิ่งทราบว่าตนเข้ามาหลังนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว และเราก็เห็นบทบาทการสื่อสาร เจรจา ตอบโต้ในประเด็นของต่างชาติ และเราก็เห็นบทบาทการทำงานของนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศที่ขับเคลื่อนระบบราชการ ทำเป็นโครงการใหญ่คนละครึ่งพลัส สามารถผลักดันขับเคลื่อนออกมาได้ในเวลาทันท่วงที สำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เราเห็นนางศุภจี ในการทำหน้าที่เจรจาต่อรอง ทำมาค้าขายกับต่างประเทศ ไม่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียโอกาส มาแปปเดียว 2-3 เดือนขายข้าว จนกระทั่งราคาข้าวสูงขึ้น เพราะฉะนั้นวันนี้ตนคิดว่าทุกคนรวมถึงพรรคภูมิใจไทย ก็กำลังจะแปลงร่าง พวกเราก็ต้องแปลงจากซูเปอร์จี ซึ่งตนกำลังคิดว่า พรรคภูมิใจไทยก็กำลังขับเคลื่อนไปสู่การเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่จะเดินหน้าไปทำแต่พื้นที่ที่เป็นการรวมตัวกันของบ้านใหญ่ตามที่ทุกคนเข้าใจ แต่วันนี้พยายามรวมตัวมืออาชีพ โดยเรามั่นใจได้ว่าคนเหล่านี้จะทำงานสำเร็จ ไม่ได้คำนึงถึง สิ่งที่เคยเกิดขึ้น ฟอร์ม หรือ ภาพลักษณ์ที่ต้องสวยหรูอยู่ตลอดเวลา แต่จะต้องทำให้มันสำเร็จ ตนคิดว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้ด้วยกัน ถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ และเป็นสีสันของการเมือง
เมื่อถามต่อว่ากรุงเทพฯ มีนโยบายสำคัญอะไรหรือไม่ นายเอกนัฏ เปิดเผยว่า ตอนนี้นโยบายสำคัญที่สุด คือนโยบายของทั้งประเทศ ซึ่งกรุงเทพมหานครคือเมืองหลวงของประเทศไทย เพราะฉะนั้นนโยบายสำคัญตนเข้าใจว่าวันนี้นโยบายของพรรคภูมิใจไทยชัดเจน มีจุดยืนที่ชัดเจนในหลายเรื่อง นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมตนตัดสินใจมาพรรคภูมิใจไทยด้วย อย่างเรื่องชายแดน เราก็เห็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดของผู้นำประเทศ “นายกฯ อนุทิน” ในการรักษาอธิปไตยของประเทศ รักษาความปลอดภัยของประชาชน เราสามารถทำงานกับราชการได้ และเดินหน้าปฏิรูปปรับระบบราชการไม่ให้เป็นอุปสรรคกับการทำมาค้าขาย ตามแนวของขวาใหม่อนุรักษ์นิยม ซึ่งเราก็เห็นที่นายเอกนิติพยายามทำอะไรได้ก็ทำ และการใช้มืออาชีพพยายามที่จะรับฟังทำงานร่วมกัน ประสานกับภาคเอกชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และเราได้เห็นกาาทำงานของนางศุภจี ตนมองว่าวันนี้เราก็เห็นอะไรใหม่ที่เราเห็นอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นอะไรที่ไม่เกิดขึ้น เช่นเราไม่เคยมีสส.ในกทม. ครั้งต่อไปเราอาจจะมีก็ได้
Advertisement