
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพ อสม. สู่สาธารณสุขยุคพัฒนา "อสม. เชื่อมต่อเทคโนโลยีสู่ชุมชน" ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 โดยมีนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข น.ส.ศุภมาส อิสรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารสุขร่วมด้วย
โดย นายอนุทิน กล่าวว่า เช่นเคยรู้สึกปลาบปลื้มและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานแต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือได้มาพบปะกับพี่น้องอสมที่ตนมีความคุ้นเคยคิดถึงกันมาโดยตลอดเพราะเราเคยร่วมกัน ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่สมัยที่ตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 4 ปีเต็ม การเปิดโครงการอสมเชื่อมต่อเทคโนโลยีสู่ชุมชนเพื่อพัฒนาศักยภาพ อสม.สู่สาธารณสุข ยุคพัฒนา ถือว่ามีความหมายเป็นอย่างมาก เพราะสาธารณสุขยุคนี้เป็นยุคพัฒนาจริงๆ เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชื่อพัฒนา แต่เขาไม่ได้มีแต่ชื่อ เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพมีความรู้ความสามารถและที่สำคัญถูกรายล้อมไปด้วยคนที่ตั้งใจจะมาทำงาน แต่ละคนมีประสบการณ์อย่างสูงมีฝีมือมีความรู้ความทุ่มเทและทุกคนที่มาทำงานในยุคนี้ก็ทราบดีว่าระบบการสาธารณสุขไทยจะไปไหนมากไม่ได้ ถ้าไม่มีฝีพายชั้นดี ที่เรียกตัวเองว่า อสม.
การที่เรามาพบปะกันเช่นนี้ทุกปี เพื่อที่จะมา แจ้งรายงานผลงานของเราในแต่ละปีให้ทราบ พวกเราทั้งสองฝั่งทั้งอสม.และฝังกระทรวงได้ร่วมมือกันอย่างไรบ้าง เดี๋ยวนี้เราทำงานด้วยเทคโนโลยีและถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านไปยัง อสม. เพราะ อสม. ก็คือหมอคนแรกของประชาชน ทำให้ประชาชนได้รับการสื่อสารและการบริการที่ดีที่สุด การที่พวกเรามาในวันนี้เพื่อที่จะมารับทราบว่า ปีนี้กระทรวงสาธารณสุขก็จะมีความคาด หวังต่ออสม. ยกระดับจาก อสม.ธรรมดา เป็น สมาร์ทอสม. จริงๆ อสม.สมาร์ท และดีอยู่ แล้ว ตนทำงานมา 4 ปี ตนทราบถึงพิษสง ของ อสม. ดี มีความทุ่มเทเสียสละ หากใครทำให้สุขภาพไม่ดีเจอพิษ อสม. แน่
นายอนุทิน ยังกล่าวอีกว่า เดี๋ยวก็เลือกตั้งแล้ววันนี้เจอพี่น้อง อสม. ลิบหูลิบตาไปหมด มาเป็นหมื่นๆ ไม่ว่าใครก็ตามเจ๋งหรือเก๋าขนาดไหนก็ตามมาเจอคนเป็นหมื่นๆ คนที่มานั่ง เหมือนกับเป็นพวกเดียวกันต่อหน้า สั่นทุกคน ในขณะที่ตนพูดกับประชาชนตอนนี้ จะรู้ว่าขาตนสั่นขนาดไหน สั่นด้วยความตื่นเต้น ด้วย ความดีใจ และเมื่อเจอ อสม. สั่นสู้ เพราะ ว่า เราเคยเป็นนักรบด้วยกันมาก่อน นักรบสมัยโควิด สมัยที่เราต้องดูแลประชาชนอย่างมากมาย ตนไปไหนสมัยนั้น ไปต่างประเทศหน้าบานเป็นกระด้ง เพราะที่ไหนก็ มีหมอ มีพยาบาล มีนักวิทยาศาสตร์ แต่ที่เขาไม่มีคือ อสม.
ไทยแลนด์มี VHV หรือ Village Healt Volunteers ที่ทุกคนล้วนมาจากจิตใจข้างในไม่ใช่จ่ายเดือนละ 2,000 ใครจะมาต้องมา จากความคิด อยากให้คนรอบข้างมีความสุข อยากให้การดูแลประชาชน ซึ่งมีมวลชน อสม. อยู่กว่า 1 ล้านคน และขณะที่ประเทศไทย มีวิกฤตการณ์โควิด คณะแพทย์ ทั้งหลายจึงมั่นใจว่า ถ้าใช้เครือข่ายของอสม ผนึกกำลัง กับด้านการแพทย์ตลอด จน เทคโนโลยี ที่เรามีเครือข่ายสาธารณสุขพวก เราสามารถผ่านวิกฤตการณ์นี้ไปได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนั้นไม่ว่าจะพูดอะไรไปคนก็จะกังวล ปรามาสว่าไม่ถูก ไม่ต้อง แต่ไม่ว่า ใครจะพูดอย่างไร เราก็ผ่านวิกฤตการณ์ โรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดของโลกไปได้ด้วยดี และทำให้ประเทศไทยของเรา ที่มีสถานะเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขอยู่ในระดับที่ อยู่ในระดับต้นๆ ของโลก แต่หากอสม.ให้ตนวัด ตนวัดว่าเป็นเบอร์ 1 ไม่ใช่ เบอร์ 6 ของโลก ในการดูแลประชาชน
วันนี้ สาธารณสุขในยุคพัฒนา หมอไม่ล้าประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี จะเป็นการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลักในการให้บริการด้านสาธารณสุขให้ประชาชน ได้รับบริการที่สะดวกรวดเร็ว และเท่าเทียม โดยจะขอให้อสม.เข้ามาช่วยเป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างหมอและประชาชน นอกจากนี้รัฐบาลจะยังคงต้องการต่อยอดให้อสม.เป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลง เป็นแกนนำในการพัฒนาสุขภาพอนามัย และพัฒนาคุณภาพชีวิตในชุมชน ด้วยหลักการป้องกันก่อนป่วย โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสริมสร้างสุขภาพเพื่อป้องกันโรคให้กับประชาชนในชุมชนและสื่อสารข้อมูลข่าวสารด้านสาธารณสุขให้ประชาชนมีความรู้ด้านสุขภาพ ตลอดจนการฝึกอาชีพพัฒนาฝีมือเพื่อสร้างความมั่นคงของอสม.ยุคใหม่ด้วยการเป็นผู้ช่วยแพทย์ทั้งแผนปัจจุบันและแผนไทย เพื่อให้สามารถนำความรู้ไปให้บริการต่อประชาชนได้ซึ่งตนเชื่อว่าโครงการต่างๆเหล่านี้ล้วนแต่เป็นโครงการที่มีประโยชน์ทั้งสิ้นจะช่วยเพิ่มความมั่นคงทางสุขภาพให้กับประชาชนคนไทยและความมั่นคงในคุณภาพชีวิตให้กับอสมทุกคน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนเพราะกลไกระบบสาธารณสุขของเรามีความเข้มแข็งเป็นอย่างมาก เวลาเขาขับเคลื่อนก็จะไปพร้อมกันหมดมีอุปสรรคบ้าง มีข้อขรุขระบ้าง แต่สุดท้ายผลลัพธ์ไม่เคยทำให้ประชาชนคนไทยผิดหวังระบบการสาธารณสุขอยู่เคียงข้างประชาชนชาวไทยเสมอ ซึ่งเรามีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านที่อยู่กับคนในชุมชนทุกชุมชนนี่คือสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยของเราให้การดูแลและให้ความมั่นใจไม่มีอะไรที่มั่นใจเท่ากับระบบสาธารณสุขในประเทศไทย
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การที่เราจะเดินหน้าต่อไป จากนี้สังคมเรามีการเปลี่ยนแปลงเราจึงต้องดูแลให้ผู้สูงอายุ วันนี้ตนมีศัพท์ใหม่ที่ทางรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขเพิ่งมาอธิบายให้ตนทราบเมื่อสักครู่ ในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง ที่ดูเหมือนเป็นการบั่นทอนจิตใจของผู้ป่วย ซึ่งศัพท์นี้ตนชอบมาก ให้เรียกว่า "ผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน" เราทุกคนในยุคแห่งสังคมผู้สูงอายุเราหนีไม่พ้น จะต้องปรับเปลี่ยนสังคมให้สอดคล้องกับสภาวะประเทศไทย ที่มีอัตราการเกิดน้อยกว่าอัตราการตาย
พร้อมกับระบุว่าอาจจะมีการขยายอายุเกษียณราชการ เนื่องจากอายุ 60 ในโลกปัจจุบันหากเทียบกับเมื่อก่อน ประเทศของเรามีการดูแลสุขภาพของประชาชนทุกช่วงอายุเป็นอย่างดี ที่ต้องไม่ถือว่าเป็นภาระของสังคมแต่ต้องถือเป็นทรัพย์สินที่ดีใช้ประสบการณ์ร่วมกันพัฒนาประเทศต่อไป ซึ่งอสมจะต้องให้การดูแลผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อครอบครัว ชุมชน และอสม. และ 5 โรค NCD สามารถป้องกันได้ด้วย การให้ความรู้ของ อสม. ให้สามารถมีการใช้ชีวิต
ด้านการพัฒนา Medical tourism เพื่อให้เป็นทรัพย์แห่งสุขภาพเป็นการหารายได้จากการเข้ามารักษาพยาบาลในประเทศไทย.เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ประเทศไทย ถึงมีคำว่าป่วยที่ไหนก็ป่วยต้องป่วยในประเทศไทยอย่าไปป่วยต่างประเทศเพราะการให้บริการการเอาใจใส่ในระบบการสาธารณสุข ไม่มีใครสู้ประเทศไทยได้ จึงจำเป็นต้องเป็นหัวเรือสร้างโอกาสเพิ่มศักยภาพ พร้อมขอบคุณ อสม. ที่ มีส่วนเสริมสร้างให้สาธารณสุขไทยมีความ เข้มแข็งตลอดมา
Advertisement