
"ณัฐวุฒิ" ฟันธง ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแน่ ทำหลายเรื่องไม่ชอบมาพากล ชี้ คนละเรื่องกัน หากอ้างกระทบกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปไม่ถึงฝั่ง
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก โดยระบุว่า มีคำถามที่เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ว่าตลอดเวลา 4 เดือนของรัฐบาล MOA ชุดนี้จะมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือเปล่า ความเห็นของผมคือ ต้องยื่น เพราะเดือนเศษๆของการบริหารประเทศ รัฐบาลชุดนี้ทำหลายเรื่องไม่ชอบมาพากล เสี่ยงจะเกิดความเสียหายและไม่สามารถไว้วางใจให้ทำหน้าที่ได้อีกต่อไป บางเรื่องเป็นหมากล็อกที่ฝ่ายค้านต้องยื่นอภิปราย คือกรณีนายกอนุทินไปพูดยอมรับว่ามีพื้นที่ที่คนไทยรุกล้ำดินแดนของประเทศกัมพูชา
นี่คือนายกรัฐมนตรีคนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์ประเทศไทยที่พูดชัดๆ ออกไปแบบนี้ ผลของมันก็คือ คำพูดนี้ถูกบันทึกไว้ในเวทีสื่อมวลชนระดับโลก แล้วก็แน่นอนว่าอยู่ในมือของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกำลังมีข้อพิพาทกับเราอยู่ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ต้องย้อนไปดูในประวัติศาสตร์ ปี 2472 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จเยือนปราสาทเขาพระวิหาร ขณะนั้นฝรั่งเศสเป็นเจ้าอาณานิคมกัมพูชา กรมพระยาดำรงราชานุภาพขออนุญาตต่อเจ้าหน้าที่อาณานิคมของฝรั่งเศส เมื่อไปถึงปราสาทพระวิหาร มีการถ่ายภาพร่วมกันโดยมีธงชาติของประเทศฝรั่งเศสปรากฏอยู่ด้วย
เหตุการณ์ผ่านล่วงมาจนถึงปี 2502 มีกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาเรื่องปราสาทพระวิหาร ต่อสู้กันในศาลโลก กัมพูชาใช้ภาพถ่ายและเหตุการณ์นั้นอ้างเป็นหลักฐานในชั้นศาล จนที่สุดศาลโลกพิพากษาเมื่อปี 2505 ชี้ว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของประเทศกัมพูชา กลับมาดูสถานการณ์ปัจจุบัน คำที่นายกอนุทินพูดเอาไว้ วันนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ใครจะยืนยันได้ว่า อีก 3 ปี 5 ปี 10 ปี 20 ปี หรือ 30 ปีข้างหน้า หากมีเหตุพิพาทกันขึ้นมาอีก กัมพูชาชี้ว่าผืนดินตรงใดก็ตามที่คนไทยครอบครองอาศัยอยู่ นั่นคือผืนดินที่เราไปรุกล้ำเขตแดนประเทศเขา แล้วเอาคำพูดของนายกอนุทินเป็นหลักฐานสุ่มเสี่ยงนะครับ ที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยแล้วกลายเป็นความเจ็บปวดอีกคำรบของคนไทย
ถ้าจะอ้างว่าประเทศไทยไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก ไม่มีทางที่จะมีข้อพิพาทระหว่าง 2 ประเทศกลับขึ้นไปในศาลโลกได้อีก ก็ต้องตอบว่าโลกมันเปลี่ยนแปลงทุกวัน เราไม่รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง
ดังนั้นมันจึงเป็นหมากล็อกอย่างที่ผมพูดว่า ฝ่ายค้านต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกอนุทินในเรื่องนี้ ถ้าไม่มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะกลายเป็นสำทับน้ำหนักของหลักฐานให้อีกฝ่ายหนึ่งเขาเอาไปอ้าง ว่าตั้งแต่นายกอนุทินพูดยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าว ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากรัฐสภาไทย หมายถึงฝ่ายค้านนิ่งเฉย คือการยอมรับเข้าไปด้วย
ดังนั้นเฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียวก็ต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจ และเมื่อมีการอภิปรายแล้ว ฝ่ายค้านทั้งหลายต้องโหวตไม่ไว้วางใจนายอนุทินในเรื่องนี้ด้วย เพราะถ้าหากโหวตไว้วางใจ หรือแม้แต่งดออกเสียง ก็เท่ากับว่าสภาไทยให้การรับรองคำประกาศของนายกอนุทิน ว่ามีคนไทยไปรุกดินแดนของกัมพูชา นี่จึงเป็นหมากล็อกอีกชั้นหนึ่ง
หมากล็อกชั้นต่อไป ก็คือในสนามเลือกตั้ง หากนายอนุทินเสนอตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แล้วเกิดพรรคการเมืองดังกล่าวได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับหนึ่ง หรือมีคะแนนเสียงเป็นข้างมาก ก็เท่ากับว่าพี่น้องประชาชนคนไทยยอมรับสนับสนุนการทำหน้าที่นายกของนายอนุทินในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งหมายรวมถึงการยอมรับว่ารุกดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่จินตนาการ แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทย โดยเฉพาะสมาชิกพรรคฝ่ายค้าน จะต้องทำหน้าที่เพื่อสร้างหลักประกันป้องกันความสูญเสียในอนาคต อย่าต้องให้ลูกหลานหันกลับมาถามว่า เราปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เลยเถิดมาอย่างไร โดยไม่มีการทักท้วง โดยฝ่ายค้านไม่ทำการใดๆ
บางคนอาจจะอ้างว่าท่านนายกยอมรับ ว่าเป็นความผิดพลาดเรื่องการสื่อสาร และขออภัยไปแล้ว นั่นคือการพูดกับคนไทย แต่อีกประเทศหนึ่งเขาเอาด้วยหรือเปล่า เขารับคำขออภัยนี้หรือไม่ เขาแสดงท่าทีการขานรับมาอย่างไร
ไม่มีนะครับ ถ้าจะมีใครอ้างว่าการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ อาจส่งผลกระทบให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปไม่ถึงฝั่ง ผมว่าคนละเรื่อง
ผมพูดมาตลอดว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญจะไม่สำเร็จ เพราะฝั่งโน้นเขาไม่แก้ แต่ถ้าหากจะแก้กันจริงๆ ตั้งแต่วันนี้จนถึงจะเปิดสมัยประชุมหน้า ยังมีเวลาเดือนกว่าๆ เปิดประชุมรัฐสภาวิสามัญทำเสียให้เสร็จก็ได้ ไม่มีใครขวาง
ดังนั้นการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวนี้ จึงไม่ใช่การล้างแค้นทางการเมืองอย่างที่คุณอนุทินพูดถึง
ถ้าหากจะดูตัวแบบของการพยายามล้างแค้นทางการเมืองโดยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ย้อนไปดูเมื่อคราวที่พรรคภูมิใจไทยมาเป็นฝ่ายค้านใหม่ๆ
จำได้ว่าในสัปดาห์แรกเป็นฝ่ายค้านปุ๊ป ประกาศจะยื่นไม่ไว้วางใจปั๊บ แต่ดีที่คะแนนเสียงของพรรคภูมิใจไทยเองไม่พอที่จะยื่นอภิปรายได้ พรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านใหญ่เขาไม่เอาด้วย จึงไม่มีการยื่นอภิปราย
แต่สำหรับวันนี้ นาทีนี้ พรรคเพื่อไทยก็ดี พรรคประชาชนก็ตาม ทั้ง 2 พรรคมีเสียงเพียงพอที่จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
สำหรับพรรคอื่น ผมไม่ทราบนะครับ แต่ผมในฐานะที่ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทยอยู่ เรียกร้องและยืนยันว่าท่านต้องอภิปรายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย
อีกเรื่องหนึ่ง คือการจัดการปัญหาสแกมเมอร์
จนถึงวันนี้ ยังมีการตั้งคำถามเรื่องท่าที เรื่องความจริงจัง ฉับไว รวดเร็วของรัฐบาลในการเข้าไปคลี่คลายปัญหา หลายประเทศที่อยู่ห่างจากกัมพูชามากกว่าประเทศไทย เขาแอคชั่นแซงหน้าไปหมดแล้ว เหลือแต่รัฐบาลซึ่งนายกต้องตอบคำถามทุกวัน ต้องยืนยันทุกรอบที่ให้สัมภาษณ์
แต่ในทางรูปธรรม ประชาชนกลับจับต้องอะไรไม่ได้
นี่เป็นรัฐบาลชุดเดียวในโลกที่มีวิธีการแก้ปัญหาสแกมเมอร์แตกต่างกับประเทศอื่นๆ รัฐบาลเศรษฐา รัฐบาลแพทองธาร ใช้การตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ร่วมมือกับประเทศอื่นๆ รุกเข้าไปในดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านเพื่อจัดการปัญหาแบบถึงลูกถึงคน
รัฐบาลสหรัฐอเมริกา รัฐบาลจีน รัฐบาลเกาหลีใต้มีการยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์ของบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องในเครือข่ายนี้ แต่รัฐบาลคุณอนุทินประกาศจัดการปัญหาสแกมเมอร์โดยการเซ็นเช็คเปล่า
หมายความว่า นั่งเฉยๆ ดูหน่วยงานราชการทำกันไปภายใต้คำสั่งว่าทำให้สำเร็จก็แล้วกัน แบบนี้จะเอาความเชื่อมั่น ความไว้วางใจที่ไหนมาให้ประชาชน ปัญหาระดับโลกอย่างสแกมเมอร์ รัฐบาลต้องถือธงนำ แล้วให้ทุกส่วนราชการ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินแถวตรงตามผู้นำไปแก้ปัญหา
ถ้าเล่นกันแบบนี้จะให้ประชาชนไปพึ่งใคร อยู่ๆ พรรคสีส้มก็เซ็นเช็คเปล่าให้พรรคสีน้ำเงินมาตั้งรัฐบาล แล้วพรรคสีน้ำเงินก็เซ็นเช็คเปล่าให้หน่วยราชการไปแก้ปัญหาสแกมเมอร์ เป็นการปัดความรับผิดชอบ แล้วก็ทิ้งปัญหาไว้กับประชาชน
อีกเรื่องหนึ่งก็คือการไปลงนาม MOU แร่แรร์เอิร์ธกับสหรัฐอเมริกาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีใครได้รับรู้ ประชาชนเพิ่งมาทราบ แล้วก็ไม่ได้ทราบจากรัฐบาลไทย ทราบจากทางการของอเมริกาด้วยซ้ำ
มีการอธิบายว่า ก่อนจะไปลงนาม เรื่องนี้ผ่านความเห็นชอบของ ครม. แต่ตั้งแต่วันนั้นจนปัจจุบันยังไม่ปรากฏมติ ครม. ในเรื่องดังกล่าว ว่าพิจารณากันยังไง เห็นชอบกันแบบไหน
แร่แร์เอิร์ธทั่วโลกรู้ว่าเป็นแร่หายาก แต่ตอนนี้มติ ครม. เกี่ยวกับเรื่องนั้นหายากกว่าตัวแร่ เพราะหายังไงก็ยังหาไม่เจอ
นี่ก็คือความไม่ชอบมาพากล การเจตนาปกปิดประชาชน 1.ยอมรับว่ารุกล้ำดินแดนกัมพูชา 2.ไม่จริงจังแก้ปัญหาสแกมเมอร์ 3.ปกปิดหลบเลี่ยงข้อเท็จจริงเรื่องการเซ็น MOU แร่แรร์เอิร์ธ แค่ 3 เรื่องนี้ก็เกินพอที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ได้ยินนายกอนุทินบอกว่า ถ้ามีการยื่นอภิปรายอาจจะมีการยุบสภา ไม่ยอมให้ด่าฟรี แบบนี้หมายความว่า มาเป็นรัฐบาล กะกินฟรี ไม่ยอมให้เช็คบิล
ไม่ได้ล่ะครับ ผมเก็งข้อสอบอภิปรายขนาดนี้ ท่านนายกควรปักหลักสู้ ไม่ใช่เตรียมขนของหนี นายกอนุทินอาจจะลืมรูดซิปกางเกงตัวเองได้ แต่อย่าเตรียมรูดซิปปากฝ่ายค้าน
นอกจากเรื่องใหม่ๆ แล้ว เรื่องเก่าอย่างเขากระโดง โดยเฉพาะฮั้ว สว. ก็รออยู่ในคิว คดีเขากระโดงฟ้องกันยานๆนานๆ ไม่รู้จะจบเมื่อไหร่ ส่วนฮั้ว สว. เวลานี้ไม่เห็นสัญญาณการขยับตัว ไม่มีการแถลงความคืบหน้าจากดีเอสไอเดือนกว่าๆ แล้ว
ถ้ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ถ้าหากกระบวนการดำเนินคดีฮั้ว สว. ยังคงเดินหน้าอย่างจริงจัง ผมว่าเราคงไม่เห็นบรรยากาศวุฒิสภามีมติแปลกๆ ไม่แคร์สายตาประชาชนแบบวันนี้ ตั้งองค์กรอิสระก็ยังคงเดินหน้าแต่งตั้ง ไม่ฟังเสียงทัดทาน ล่าสุดการลงมติสอบจริยธรรม สว. นันทนา ก็เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วประเทศ
ตลอดเวลา 20 ปี ของความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย มีคนกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองว่าขายชาติหลายเหตุการณ์เหลือเกิน
ทักษิณขายชาติ สมัครขายชาติ ยิ่งลักษณ์ขายชาติ เศรษฐา แพทองธาร ล้วนแล้วแต่เคยถูกวาทกรรมขายชาติตามเล่นงานทั้งสิ้น
คนที่ถูกกล่าวหาว่าขายชาติ ไม่มีใครยอมรับ ทุกคนต่อสู้ด้วยหลักฐาน ด้วยข้อเท็จจริง ภายหลังเหตุการณ์ก็คลี่คลายว่าไม่มีพฤติการณ์ดังกล่าว คนกล่าวหาเขาว่าขายชาติก็ลอยตัว ไม่ถูกดำเนินการ ไม่ถูกตรวจสอบจริยธรรมใดๆ
แต่มายุคนี้ สว. นันทนาเรียก สว. อีกคนหนึ่งว่าคนขายหมู เจ้าตัวยอมรับด้วยว่าจริง แล้วบอกว่านี่เป็นความภาคภูมิใจในวิชาชีพ ปรากฏว่า สว. นันทนาถูกสอบจริยธรรม
บ้านเมืองมันมาถึงจุดนี้แล้ว แล้วถ้าฝ่ายค้านยังไม่ทำหน้าที่ ยังไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ระวังดีๆ นะครับ เผลอๆ ประชาชนจะพาลไม่ไว้ใจฝ่ายค้านเอาไปด้วย
ผมไม่มีความแค้นเคืองใดๆ กับรัฐบาล หรือตัวท่านนายกเป็นการส่วนบุคคล เพียงแต่คนเขาถามกันมาเยอะ ว่ามองเกมอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างไร ก็เลยสนทนาเล่าสู่กันฟัง.
Advertisement