Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
"อนุทิน" ยันเซ็นปฏิญญาไทย-กัมพูชา หวังคืนความสงบ

"อนุทิน" ยันเซ็นปฏิญญาไทย-กัมพูชา หวังคืนความสงบ

5 พ.ย. 68
14:58 น.
แชร์

"อนุทิน" แจงเซ็นปฏิญญาไทย-กัมพูชาหวังคืนความสงบ ยันไทยไม่เสียดินแดน ชี้ลงนามแรร์เอิร์ธไม่เสียหาย ลั่น ขายหินในราคาทองคำไม่ใช่ชั่งกิโล

วันที่ 5 พ.ย.2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  กล่าวถึงการลงนามร่วมกับผู้นำกัมพูชา โดยมีผู้นำมาเลเซียและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สังเกตการณ์ ถือว่าเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน การลงนามนั้นมีความหมายอย่างไรต่อประเทศไทย และนโยบายที่เป็นรูปธรรมที่จะแก้ไขปัญหาตรงนี้คืออะไร ว่า  เรื่องนี้นานาจิตตัง ต่างคนต่างความคิด แต่ตนอยากใช้โอกาสในเวทีนี้ ฝากไปถึงประชาชนการที่ประเทศไทยได้ลงนามในปฏิญญา( joint declaration)

วัตถุประสงค์ที่ตนเต็มใจไปเซ็นลงนามและตัดสินใจว่าถึงเวลาอันสมควรที่จะต้องลงนามคือเพื่อหยุดสงคราม ตนเป็นนายกรัฐมนตรีนำประเทศไปให้มีสงครามไม่ได้หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี คือต้องทำให้ประเทศมีความสงบสุข หลายประเทศสงครามคือสิ่งหอมหวาน ถ้าเป็นผู้นำและนำประเทศเข้าสู่สงครามบางทีก็ได้รับความนิยมด้วยแต่ตนคิดว่าสำหรับประเทศไทย เราอย่ามีสงครามดีกว่า เพราะเป็นประเทศที่เป็นตัวของเราเองมีเอกราชของเรามาโดยตลอด ซึ่งเป็นที่น่าเกรงขามของอริราชศัตรูทั้งหลายอยู่แล้ว ตนไปลงนามเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม และมั่นใจได้เลยว่าประเทศไทยจะไม่มีวันเสียดินแดน ไม่มีวันเสียอธิปไตย เพราะในปฏิญญาเขียนชัดเจนว่าอะไรที่เป็นของใครก็เป็นของใคร ไม่มีจุดไหนที่บอกว่าเรายอมแลกพื้นที่ ตรงนั้นตรงนี้เพื่อวัตถุประสงค์ใด ตนไปเพื่อทำให้เกิดความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และไปเพื่อให้เขาเห็นว่าอยาได้คิดอย่ารุกรานประเทศไทย คุณจะคิดผิดมากถ้าคิดว่าประเทศไทยรุกรานได้ และตนก็มั่นใจว่าข้อความของตนใน 4 ข้อนี้ ได้ถูกส่งไปยังคู่กรณีด้วยความชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง มีประธานกลุ่มสมาชิกอาเซียน ร่วมเป็นสักขีพยาน และประธานาธิบดีสหรัฐถือเป็นตัวแทนประชาคมโลกร่วมเป็นพยาน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดความมั่นใจได้เลยว่าประเทศไทยจะไม่มีสงคราม ถ้าทุกอย่างถูกปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงที่ได้ตกลงกันไว้

เมื่อถามว่าหากมองไปในข้อตกลงดังกล่าวสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าผลลัพธ์ที่จะเป็นรูปธรรมอย่างเช่นการทำประชามติ MOU 2543- 2544 ที่จะเกิดขึ้น มองเป้าหมายเรื่องนี้อย่างไร  นายอนุทิน ระบุว่า มันคนละเรื่องกันเรื่องปฏิญญา เป็นเรื่องการยุติ มันไม่ใช่สัญญาสันติภาพสัญญาสงบศึก แต่เป็นประตูแรกที่จะนำไปสู่สันติภาพ ซึ่งยังไงก็ควรจะต้องมีสันติภาพในวันหนึ่ง เพราะเราอยู่ตรงกลาง เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศ และไม่อยากมีช่องว่างเพื่อให้วงกลมนั้นครบ ถ้าวงกลมมันขาดก็ทำให้เราขับเคลื่อนสิ่งที่เกิดประโยชน์สูงสูดประเทศไม่ได้ หากยังสู้รบกัน ขณะที่การค้าขายชายแดน ต้นเข้าใจและฟังพี่น้องประชาชนเสมอ แต่ต้องหาทางแก้ปัญหาให้เขาด้วย มูลค่าการค้าขายชายแดนไทยกัมพูชาต่อปีถึง 170,000 ล้านบาท ประเทศไทยขายให้กัมพูชา 140,000 ล้านบาท เราซื้อกัมพูชาแค่ 30,000 ล้านบาท เราเสียหายมากกว่า แต่หากว่าไปบอกว่าเราเสียหายมากกว่าจะยอมตรงนั้น ตนก็ไม่ยอมแต่เราฟังเสียงประชาชน เราจะต้องไม่เป็นเบี้ยล่างคู่กรณีหรือศัตรูแต่ก็คิดว่าเราจะอยู่อย่างนี้อีก 10 20 ปีหรือ 30 ปีได้หรือไม่เพื่ออะไร ถ้ามีช่องทางอื่นที่ทำให้เราตอบได้ว่าเราไม่ได้เสียหายอะไรเลย ทุกอย่างฝ่ายคู่กรณีต้องปฏิบัติไม่มีอะไรที่ฝ่ายไทยต้องปฏิบัติตนจะคิดว่าสิ่งเหล่านี้แฟร์ดี ที่จะนำไปสู่หนทางการพัฒนาฟื้นฟู สิ่งที่เราได้เสียหาย ให้กลับมาให้ดีที่สุด

เมื่อถามลงนามแร่แรร์เอิร์ธ​จุดยืนของประเทศไทยคืออะไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หากมีอีก 4-5 ประเทศมาแสดงเจตจำนงว่าจะลงนามเช่นนี้ ประเทศไทยไม่มีอะไรจะเสีย ตอนนี้แร่แรร์เอิร์ธยังอยู่ในดินวันนี้ยังเป็นหินเราไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ตนต้องการขายหินในราคาทองคำ ไม่ต้องการขายหินในราคาก้อนกรวดก้อนทรายชั่งกิโลขาย  ตนถูกสอนมาตั้งแต่อยู่ภาคเอกชน พ่อตุ่นสอนมาตลอดจะขายของให้กำไรต้องซื้อมาเป็นเมตรมาตัดเป็นนิ้ว นี่ก็เป็นหลักการเดียวกัน คำว่าแร่แรร์เอิร์ธ​ คำศัพท์นี้เมื่อ 10 ปีก่อน ไม่ยังไม่ค่อยมีใครได้ยิน ยกเว้นพวกนักวิชาการ ตนก็ไม่เคยได้ยินถ้าไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็แทบไม่เคยสนใจ เพราะชีวิตอยู่กับกระทรวงสาธารณสุขและมหาดไทย แต่พอเป็นนายกรัฐมนตรีมีเรื่องนี้ขึ้นมา ตนไม่ได้บอกว่าจะไปให้สัมปทานใครแต่บอกว่ามีโอกาสที่ประเทศไทย จะมีแร่ธาตุหายาก ถ้าสามารถนำไปถลุงแปรสภาพก็อาจจะกลายไปเป็นวัสดุ ที่สร้างขึ้นมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่าได้

ส่วนที่มีการมองว่าแร่นี้จะเป็นแร่ยุทธศาสตร์ระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ยังอยู่ในประเทศไทย เรายังมีองค์ความรู้เรื่องนี้น้อยมากถ้ามีคนมาให้ความร่วมมือในการศึกษาให้ความรู้กับประเทศไทยเรา ประเทศไทยหมดเวลาไปนานแล้วว่าทำอะไรเองไม่ได้ ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการให้สัมปทานกับใคร  หากแร่มีมูลค่าขึ้นมาจริงก็ต้องสร้างกฎระเบียบ มีกฎหมาย มี tor เพื่อพัฒนาแร่เหล่านี้ และตนคือ Thailand First อยู่แล้วนโยบายพรรคภูมิใจไทยอะไรก็ได้ที่คนไทยมีส่วนร่วมคนไทยทำ ตนจะต้องหาแต้มต่อให้กับคนไทยมากที่สุด เรื่องแรเอิร์ธก็ไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียวที่ลงนาม มีอยู่ประมาณ 8 ประเทศโดยรอบอาเซียน บางประเทศโดยถึงขั้นขายแล้ว แต่เราอยู่ในขั้นการเสนอตัวเข้ามาศึกษา ใครจะเอาช่องทางการตลาดมาให้ใครก็พร้อมพิจารณา ไม่มีอะไรแตกต่างจากการลงนามเรื่องอื่นๆ

ส่วนจะรักษาจุดยืนระหว่างประเทศมหาอำนาจอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการจะ Balance ตัวเองกับใครจะต้องมีความจริงใจและมั่นใจในตัวเองว่าเราก็มีดีเหมือนกัน แต่เราต้องจริงใจ เราอย่าเล่นนกมีหูหนูมีปีกไม่ได้ อย่างนั้นเราก็กระโดดโลดเต้นตาย วันที่หมดแรงแรกก็คือเรา คนอื่นเขาอยู่เฉยๆ เราต้องเหยียบเรือสองแคมต้องประคองตัว  เราต้องใช้ความจริงใจของเราประเทศไทยมีดี มีคนเก่งจำนวนมาก มีเทคโนโลยี มีเงินฝาก มีแหล่งทุน เราต้องวางตัวให้เป็นคู่ค้า เป็นคู่คิด ไม่ใช่เป็นขี้ข้า

ส่วนต้องเลือกข้างหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เราเลือกข้างตัวเอง ต้องคิดถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ และสุดท้ายเราต้องอยู่ด้วยตัวเองถ้าไม่มีใครคบเรา​ เรา​ก็ต้องมั่นใจว่าเราสามารถที่จะผลิตอาหาร ปัจจัย 4 ได้​  สิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยแข็งแรงขึ้นคือต้องสร้างระบบยุติธรรมให้ยุติธรรมขึ้น สร้างความ สร้างความเท่าเทียมกัน ให้เกิดขึ้นได้ทั้งหมด ทำให้ประเทศไทยน่าเชื่อถือ

 

Advertisement

แชร์
"อนุทิน" ยันเซ็นปฏิญญาไทย-กัมพูชา หวังคืนความสงบ